407 ชื่อนี้จำจนวันตาย


407 ชื่อนี้จำจนวันตาย
    ผมเป็นคนกรุงเทพนะครับแต่มีช่วงนึงที่ต้องเดินทางไปสระบุรีเพราะสอบนายสิบตำรวจได้แล้วศูนย์ฝึกอยู่ที่นั่น ศูนย์ฝึกภาค1 มีกำหนดการเดินทางทั้งหมด 2 วัน ผมเริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพไปประมาณช่วง 4 ทุ่ม ถึงสระบุรีก็ดึกมากแล้วครับ วนรถหาโรงแรมกับพ่อ 2 คน หาอยู่นานมากครับ จนประมาณเที่ยงคืนกว่าครับ ไปเจอโรงแรมหนึ่ง อยู่ใกล้ๆทางรถไฟเลย น่าจะอยู่ในตัวเมืองสระบุรีเลยครับ ก็เลยตัดสินใจ เลือกโรงแรมนั้นกับพ่อ
พ่อก็พาเดินเข้าไปที่ร็อบบี้ บรรยากาศในโรงแรมนั้นเงียบมากเลยครับ พนักงานหลอมแหลมมาก ไฟลานจอดรถก็มืดมากครับ ผมกับพ่อได้ห้อง 407 มาครับ มีพนักงานพาไปที่ห้องครับ แว๊บแรกที่เปิดประตูเข้าไป คือ พรมที่ปูพื้นกลิ่นอับมาก คิดในใจตอนนั้นคือโคตรกลัวครับ เพราะโรงแรมน่ากลัว
ขออธิบายลักษณะห้องก่อนนะครับ เปิดประตูเข้าไป จะเจอเตียงเดี่ยว2เตียง วางขวางนะครับ แล้วที่ปลายเตียงจะเป็นห้องน้ำครับ ผมเลือกเตียงในสุดเพราะใกล้น่าต่างครับ แล้วอีกอย่างจะได้ให้พ่อนอนกันให้ กลัวใครมาสะกิดกลางคืนเพราะผมฟังเขาเล่ามาเยอะ ก็นอนเล่น wifi กันไปสักพักครับ
สักพักพ่อผมเอ่ยปากมาเลยครับ เองมานอนข้างนอกนี่มา พ่อหนาว แอร์เจ้ากำทะลึ่งมาลงตรงเตียงพ่อพอดี ปรับอุณหภูมิก็ไม่ได้ ผมก็เลยจำใจต้องไปนอนเตียงนอก เวลานั้น ก็เกือบตี 1 แล้วครับ จัดของกันเสร็จ พ่อเลยไล่ให้ผมไปอาบน้ำแล้วเตรียมตัวนอน เพราะพรุ่งนี้ 7 โมงเช้า ผมต้องสอบว่ายน้ำ ผมก็เลยเข้าไปอาบน้ำ ห้องน้ำไม่เก่า ไม่ใหม่ครับ ข้างในเปิดประตูไปจะเจออ่างอาบน้ำ ชักโครกอยุ่ขวามือ ซ้ายมือเป็นอ่างล้างหน้าครับ
ผมเลยเปิดน้ำอุ่นไว้ให้เต็มอ่าง ระหว่างรอน้ำอุ่นเต็มอ่าง ผมก็นั่งลงบนชักโครกครับ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้ถ่ายท้องนะครับ คือนั่งเล่นโทรศัพท์ สักพักครับผมได้กลิ่นเหมือนหนูเน่าครับเหม็นมากลอยมาเตะจมูกแล้วกลิ่นมันหายไป สักพักนึงผมเริ่มหาต้นตอจากกลิ่นแล้วครับ หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เลยนั่งรออีกสักพัก
กลิ่นนั้นลอยมาอีกแล้ว จะว่ากลิ่นจากข้างนอกก็คงไม่ใช่ เพราะในห้องน้ำมีพัดลมดูดอากาศ ผมเลยลุกขึ้นหาอีกรอบนึงคราวนี้สายตาเหลือบไปมองที่กระเบื้องปูพื้น มีคราบเหลืองๆติดอยู่คราบเหลืองแบบเหลืองๆปนขาวๆนะครับ ไม่ใช่เหลืองแบบคราบฉี่ เหลืองแบบน้ำหนองอะครับ แล้วก็มีเส้นผมยาวๆติดอยู่ด้วย แต่ใช้เท้าถูๆ ถูยังไงก็ไม่ออกครับ คือเหมือนมันติดในกระเบื้องเลย แต่มันก็ไม่ใช่ที่มาของกลิ่นนะครับ ผมเลยไม่ได้สนใจ เลยอาบน้ำต่อจนเสร็จครับ
ต่อจากนั้นครับ พออาบน้ำเสร็จเลยจะเข้านอนแล้วครับ ด้วยความเหนื่อยจากการเดินทาง ผมเลยไม่ได้ไหว้พระก่อนนอนครับ หัวถึงหมอนก็อยากนอนเลย เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ สะดุ้งตื่นมาอีกทีเพราะรู้สึกอึดอัดมากครับ เหมือนมีอะไรมาทับเราอยู่ คือตอนนั้นนอนตะแคงหันหลังให้พ่อนะครับ แล้วผมขยับตัวไม่ได้เลย พูดง่ายๆเลยครับ เหมือนโดนผีอำ ขยับตัวแขนขาขยับไม่ได้เลยครับ แม้แต่ปากจะตะโกนเรียกพ่อ ผมยังตะโกนไม่ได้
แต่ตอนนั้นผมมีสตินะครับ ไม่ได้อยู่ในภวังค์เลย ผมตื่นลืมตาแล้วจริงๆ แต่ขยับไม่ได้ ปากก็จะตะโกนแต่เสียงที่ออกมาเหมือนเราโดนมัดปากแล้วตะโกนอะครับ เลยนึกถึงพ่อแก่ครับ เพราะผมนับถือ ปู่ฤาษีตาไฟ ผมเลยขยับตัวได้ ด้วยความกลัวเลยรีบหันตัวมาเพื่อจะเรียกพ่อ
แต่ทันใดนั้นเองครับ จังหวะที่พลิกตัวมา ไอตาเจ้ากรรมมันดันเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนึงใส่ชุดสีขาวครับ ยืนตัวเปียกอยู่ที่ประตูห้องน้ำ ผมรีบขยี้ตาเหมือนในหนังครับ ที่แรกเขายังไม่หายไป ทีที่สอง เธอหายไป รีบเปิดไฟเลยครับเพราะความกลัว พ่อตื่นขึ้นมาถามว่ามีอะไร ผมไม่กล้าบอก เลยบอกว่าปวดห้องน้ำ เลยเดินเข้าห้องน้ำแล้วเปิดไฟห้องน้ำทิ้งไว้ครับ เพราะจะเปิดไฟห้องกลัวพ่อนอนไม่หลับ
คืนนั้นทั้งคืนผมไม่ได้นอนเลยครับ เพราะความกลัว เช้ามาผมไปสอบว่ายน้ำเสร็จเลยเล่าให้พ่อฟัง พ่อบอกอย่าคิดมาก พ่อไม่เห็นเจออะไรเลย ผมก็ใจดีสู้เสือครับ จะกลับก็กลับไม่ได้เพราะพรุ่งนี้สอบวิ่งครับ
พ่อพากลับมาโรงแรมช่วงเที่ยงๆครับ ด้วยความเหนื่อยผมหลับยัน2ทุ่มครับ ตื่นมาห้องมืดไปหมด ซวยแล้วไหมล่ะ พ่อทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียว ผมรีบเปิดไฟเลยครับ สักพักพ่อกลับมา คืนนั้นรู้สึกว่าทางโรงแรมจะแจกรหัส wifi ให้ใช้วันต่อวัน ประมาณ5ทุ่ม ผมเดินออกมาจากห้อง เพื่อจะไปขอรหัส wifi ที่ด้านล่างครับ คือที่ทางเดินมันเงียบมากเลยครับ ไม่มีใครเดินแม้แต่คนเดียว
พอจะถึงหน้าลิฟท์ เสียงอะไรไม่รู้ดัง โครม!!!!!!!!!!! ดังมาก หันไปดูก็ไม่เห็นอะไรครับ แต่รู้ว่ามันดังใกล้มาก เลยรีบลงลิฟท์ไปขอรหัสเสร็จ รีบกลับเข้าห้องให้ไวเลยครับ คืนนั้นผมสวดมนต์ และบอกเจ้าที่เจ้าทางครับ ว่าผมมาสอบ ขอพักอาศัยชั่วคราว อย่าเบียดเบียน อย่ามาหลอกกันเลยครับ คืนนั้นผ่านไปด้วยดีครับ เช้านั้นผมสอบวิ่ง ผ่านไปด้วยดี กลับมาถึงโรงแรมประมาณ 11 โมง ก็อาบน้ำเก็บของกัน เตรียมกลับบ้าน
ผมอาบน้ำเสร็จก่อนพ่อ เลยมานั้งรอที่เตียง ระหว่างรอพอใจก็คิดอยากไปจากตรงนี้ไวๆ ตาก็มองไปทั่ว ไปเห็นตู้เก่าๆตู้นึง แล้วหลังตู้เหมือนมีลำโพงเก่าๆ มีเครื่องเหมือน เครื่องเสียงอะไรเนี่ยแหละแต่เป็นตู้ไม้เก่าๆนะน่ากลัวๆ ผมไม่รู้คิดอะไร ปากไว พูดไปว่า สาธุถ้าคนที่ผมเจอในห้องนี้มีอยู่จริง กลับบ้านไปขอให้ผมถูกหวยด้วยเถิด ผมจะทำบุญให้เลย
กลับจากโรงแรมมาถึงบ้าน ผมไม่ได้จำหรอกครับว่าพูดอะไรไป แทบลืมไปหมดแล้วด้วยซ้ำ เพราะเป็นการเจอผีจังๆครั้งแรก เลยไม่อยากจำ พอมาถึงวันหวยออกนะครับ วันนั้นผมเลิกงานมาก็เช้าครับ เป็นคนทำงานกลางคืน เช้ามาก็นอนยาวๆเลยครับ ตื่นมาอีกทีบ่าย2โมง ที่ผมตื่นเพราะอะไรรู้ไหมครับ ผมฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นครับ แต่ในฝันเห็นไม่ชัดเท่าไหร่ แต่รู้ว่าเป็นเขา
พิมพ์ไปขนลุกไปครับ เลยสะดุ้งตื่นขึ้นมา เอาไงวะจะซื้อเลขอะไรดี คิดในใจ เมื่อคืนใส่ซองผ้าป่าไป เขียนหน้าซองว่า……..(ชื่อโรงแรม)407…….. ผมเลยซื้อเลข 407 704 ไปครับ วันนั้นเลยเล่าให้แฟนฟังครับว่าฝันว่าผู้หญิงที่โรงแรมเขามาเข้าฝัน แฟนขนลุกทั้งตัวเลยครับ เย็นวันนั้นบ่าย4โมง หวยมันออกอะไรไม่รู้ 04 ข้างหลัง ด้วยความที่ผมไม่เคยซื่อหวย เลยมองจากตัวข้างหลังมา 04 เหมือนกันเลยว่ะ ข้างหน้าเป็น 7 ก็คงจะดีสิวะ

พระเจ้าช่วยครับ ผมตะลึงเลย หวยมันออก 704 ผมถูกหวยเต็มๆเลยครับ งวดนั้นเลยทำบุญใหญ่เลย แล้วเธอคนนั้นก็หายไปจากชีวิตผมเลย ผมว่าเธอคงไปอยู่ในภพภูมิที่ดีแล้วล่ะครับ หลังจากเรื่องนั้นเกิดขึ้น ผมเลยย้อนไปถามน้องที่สอบตำรวจด้วยกันที่สระบุรี น้องบอกว่า แม่เล่าว่าเมื่อหลายปีก่อนมีผู้หญิงโดนฆ่าแล้วหมกศพไว้ในนั้น แต่ไม่รู้ว่าห้องไหน อยู่ชั้นบนๆ
บวกกับที่ก่อนวันกลับจากโรงแรม ผมไปถามแม่ค้าร้านกระหรี่ปั๊บหน้าโรงแรม ที่แรกเขาไม่บอกหรอกครับ ผมตื๊อเลยบวกกับซื้อของร้านแกเยอะด้วย แกบอกผมว่าเอาอีกแล้วหรอ โรงแรมนี้เจอกันบ่อย ตัวเขาเองเป็นคนรับจ้างมาขายอีกที เจ้าของร้านกระหรี่ปั๊บชื่อดังของสระบุรี เขามาพักโรงแรมนี้บ่อย เจอบ่อยมาก เจอจนชิน
ใครจะคิดยังไงผมไม่รู้นะ แต่ผมเชื่อ ว่าเหตุการ์ณที่เจอกับเธอคนนั้นมีอยู่จริง บวกกับหวยงวดนั้น ทำไมต้องออก 704 เลขมีเป็นร้อยเป็นพัน หากมันเป็นความบังเอิญ ผมคงคิดว่ามันคงบังเอิญมากๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงทุกประการ หากผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยครับ
สุดท้ายนี้ขอให้เรื่องนี้เป็นวิทยาทานในการใช้ชีวิต อย่าอารมณ์ร้อน อย่าใช้ความรุนแรงกันเลยนะครับ จะได้ไม่มีใครที่ต้องไปตาย ในที่ที่ไม่สมควรตาย และต้องอยุ่รอวันที่ได้ไปผุดไปเกิดอีกเลย ขอให้บุญกุศลจากการเล่าเรื่องสู่เพื่อนมนุษย์ในครั้งนี้ จงบันดาลให้เธอคนนั้น ห้อง 407 จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีด้วยเทอญ สาธุ ขนลุกไปตอนพิมพ์ช่วงท้ายนี้

เปิดตำนาน"ศาลเจ้าพ่อเสือ"เสาชิงช้า

     
     
  "ศาลเจ้าพ่อเสือ"เสาชิงช้า
      โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เสือร้ายตรอมใจกระโดดเข้ากองไฟ ที่มา"ศาลเจ้าพ่อเสือ"เสาชิงช้า
ศาลเจ้าพ่อเสือ เสาชิงช้า เป็นศาลที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย แต่เดิมตั้งอยู่ถนนบำรุงเมือง หลังจากการนั้นมีการขยายถนนในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงทำให้ต้องมีการย้ายศาลเจ้าพ่อเสือมาไว้ ณ บริเวณ ถนน ตะนาว จนถึงปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันศาลเจ้าพ่อเสือมีอายุมากกว่า 100 ปี และได้รับการคัดเลือกให้เป็นโบราณสถาน ซึ่งอยู่ในการกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย
ลักษณะอาคารสร้างตามรูปแบบศาลเจ้าที่นิยมทางภาคใต้ของจีน องค์ประธานของศาลเจ้าพ่อเสือ คือ ตั๋วเหล่าเอี้ยหรือเจ้าพ่อใหญ่ เทพเจ้าตั่วเหล่าเอี๊ย หรือองค์เทพเฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่ นั้นเป็นที่นิยมของผู้คนให้พาไปกราบไหว้ขอพรกันอย่างเนืองแน่นในวันตรุษจีน (วันปีใหม่ของจีน) เพื่อให้มีโชคมีชัยตลอดทั้งปี ณ ศาลเจ้าพ่อเสือและยังมี เจ้าพ่อเสือซึ่งชาวจีนถือเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องอภิบาลและปราบปรามศัตรู
ศาลเจ้าพ่อเสือเดิมมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ปีที่ก่อสร้างตรงกับ พ.ศ. 2377 มีความเกี่ยวเนื่องกับวัดมหรรณพาราม

ตามตำนานที่ได้เล่าขานเรื่องของ เจ้าพ่อเสือเล่ากันว่า ยายผ่องและนายสอน สองแม่ลูกที่มีชีวิตลำบาก ด้วยความยากจนทุกๆวันนายสอนจะต้องเข้าป่า ไปเก็บของป่ากลับมาให้มารดาเสมอ วันหนึ่งนายสอนได้ออกหาของป่าเหมือนทุกวันๆ แต่วันนี้ของกลับหายากจึงต้องเดินลึกเข้าไปในป่า เขาได้พบกับซากกวางพึ่งตายใหม่ๆ เขารู้ได้ทันทีว่าจะต้องมีเสือผู้เป็นเจ้าของซากกวางอยู่บริเวณนี้เป็นแน่ แต่ด้วยความกตัญญู นายสอนได้รำลึกถึงมารดา เขาอยากให้มารดาได้รับประทานเนื้อกวางนี้ จึงได้เข้าไปตัดเนื้อกวางมาได้ก้อนหนึ่ง เสือที่ซุ่มอยู่ ได้กระโจนเข้ามากัดนายสอน ขย้ำได้แขนของนายสอนไปข้างหนึ่งและกระโจนจากไป นายสอนจึงค่อยตะเกียกตะกายกลับไปหามารดา แม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่ด้วยใจที่รำลึกถึงมารดา เขาได้พาตัวเองกลับมาถึงบ้านได้ เมื่อยายผ่องผู้เป็นมารดาเห็นสภาพบุตรชาย จึงรีบถลาเข้ามา นายสอนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังจากนั้นจึงสิ้นใจ
ยายผ่องโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากได้นำเรื่องไปแจ้งแก่นายอำเภอเพื่อให้ช่วยตามเสือร้ายนั้นมาลงโทษ นายอำเภอเห็นใจและรวมตัวกับปลัดไปออกตามหาเสือร้ายตัวนั้น หาเท่าใดๆก็ไม่พบ ปลัดจึงไปยังวัดมหรรณพาราม ไปอธิษฐานหลวงพ่อบุญฤทธิ์ และหลวงพ่อพระร่วง (พระประธานใหญ่ในวัดมหรรณพาราม )หลังจากนั้นปลัดได้พบเสือนอนหมอบให้จับอย่างง่ายดาย
เมื่อจับเสือได้ จึงนำตัวมันมาตัดสินประหารชีวิตมัน เสือตัวนี้มิได้ขัดขืนแต่อย่างใด ได้แต่น้ำตาไหลรินออกมาจากนัยน์ตาเสือตัวนั้น จนยายผ่องเกิดความสงสารจึงขอให้ยกเลิกประหารชีวิตเสือตัวนี้ แล้วยายผ่องได้นำเสือตัวนี้มาเลี้ยงแทนบุตรชายที่เสียไป ซึ่งเสือตัวนี้ได้กลายเป็นเสือที่เชื่อง เชื่อฟังยายผ่องด้วยความรัก คอยเฝ้าบ้านเฝ้าเรือนให้ยายผ่อง เมื่อยายผ่องเสียชีวิตไป เจ้าเสือเกิดอาการตรอมใจและเมื่อเผาร่างของยายผ่อง เสือตัวนี้ได้กระโจนเข้าไปในกองไฟด้วยสำนึกใจคุณของยายผ่อง สร้างความสลดใจแก่ชาวบ้าน ชาวบ้านจึงร่วมใจกันสร้างศาล ข้างวัดมหรรณพาราม โดยปั้นรูปเสือไว้พร้อมนำเถ้ากระดูกของมันมาไว้ใต้แท่นและทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณเสือมาสถิตไว้ เพื่อปกป้องคุ้มครองและสร้างความเจริญแก่ผู้นับถือ


10 สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปร่วมงานศพ



10 สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปร่วมงานศพ
 1 .พกกิ่งทับทิมใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อขณะอยู่ในงาน ชาวจีนโบราณเชื่อว่าถ้าพกกิ่งทับทิมไปงานศพจะป้องกันเราจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆที่อยู่ในงาน
2.เตรียมน้ำที่มีใบทับทิมไว้ล้างหน้า เราควรล้างหน้าหลังจากกลับจากงานศพเพื่อกันไม่ให้วิญญาณคนตายตามเราเข้ามาบ้าน
3.นำเข็มกลัดมากลัดไว้ที่เสื้อหรือชุดคลุมท้อง หากสุภาพสตรีท่านใดกำลังตั้งครรภ์ ให้นำเข็มกลัดมากลัดไว้ที่เสื้อหรือชุดคลุมท้องเพื่อป้องกันสิ่งเร้นลับทั้งหลายที่สามารถมาทำอันตรายเด็กได้ นอกจากนี้โบราณยังเชื่อว่าหากนำเข็มกลัดมากลัดจะป้องกันเด็กหลุดอีกด้วย
4.พกมีดขณะอยู่ในงานศพ เพื่อเป็นการป้องกันสิ่งอัปมงคลต่างๆขณะที่อยู่ในงาน
5.ห้ามลอดมองใต้หว่างขาแล้วมองไปยังที่ที่โลงศพตั้งอยู่เพราจะเห็นคนตาย
6.อย่าชมพวงหรีดว่าสวย แม้ว่าพวงหรีดในงานจะสวยแค่ไหนก็ตาม อย่าชมมันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะมีงานศพตามมาอีก
7.คนที่กำลังไม่สบายไม่ควรไปงานศพ เพราะกำลังมีดวงจิตที่อ่อนแอ วิญญาณและสิ่งอัปมงคลต่างๆจะถือโอกาสเกาะติดกลับมาบ้านด้วย
8 ไม่ควรรับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่มในงานศพ หากใครที่ดวงชะตาไม่ดีหรือเป็นปีชงไม่ควรรับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่มในงานศพเพราะสิ่งชั่วร้ายต่างๆจะเข้ามาทำร้ายเราผ่านทางอาหารและเครื่องดื่ม
9.ห้ามหยิบดอกไม้จันทน์ส่งต่อกันในงานศพเพราะการยื่นดอกไม้จันทน์ให้กันนั้นคือการหยิบส่งให้คนตาย ดังนั้นจึงเปรียบเสมือนกับการไปแช่งให้ผู้รับตาย
10. ที่สำคัญอย่าลืมนำ “พวงหรีด” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สากลในการไว้อาลัยไปงานศพ เพราะนอกจากจะเป็นการแสดงออกถึงความเสียใจต่อเจ้าภาพและญาติมิตรของผู้ที่เสียชีวิตแล้ว ยังเป็นการแสดงความเคารพต่อเทวดาซึ่งจะนำพาดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตไปสู่สวรรค์อีกด้วย 



.




"อุบาสิกาคู่แรกของโลก" ผู้ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าหลังจากตรัสรู้ !!

     
      พระพุทธศาสนา เราจะรู้ได้ว่า พุทธศาสนิกชนนั้นมีมากมายเป็นอันดับต้นๆของโลก น่าเชื่อได้ว่า ชนชาติมอญเป็นผู้ถึงพระพุทธศาสนาก่อนใครในสุวรรณภูมิ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตำนานมอญระบุว่า ภายหลัง ตะเป๊า ตะปอ (ตปุสสะ ภัลลิกะ) พ่อค้าวาณิชมอญสองพี่น้อง ได้เข้าเฝ้าถวายข้าวสัตตุแด่องค์พระสัมมาหลังตรัสรู้ ตะเป๊า ตะปอจึงนับเป็นอุบาสกคู่แรกของโลก
หลังจากพระพุทธเจ้าเสวยข้าวสัตตุนั้นแล้ว ได้ลูบพระเศียรซึ่งมีพระเกศาติดพระหัตถ์มาด้วย ๘ เส้น ทรงประทานพระเกศานั้นแด่สองพี่น้องเป็นสิ่งแทนพระองค์ เพื่อน้อมนำถึงพระธรรมคำสอนของพุทธองค์อันเป็นมงคลชีวิต สองพี่น้องได้นำกลับมาถวายกษัตริย์แห่งรามัญประเทศนาม พระเจ้าเอิกกะลาปะ พระองค์โปรดฯ ให้สร้างพระเจดีย์เละเกิ่ง (ชเวดากอง) ประดิษฐานไว้ยังรามัญเทศะสืบมา
ส่วนในทางประวัติศาสตร์ คัมภีร์ทางพุทธศาสนา อันได้แก่ “สมันตปาสาทิกา” โดยพระพุทธโฆษาจารย์ (มีชีวิตอยู่เมื่อ พ.ศ. ๙๒๗-๙๗๓) และ “มหาวงศ์” ในรัชสมัยพระเจ้ามหานามะ (ครองราชย์ พ.ศ. ๙๕๕-๙๗๗) คัมภีร์ทั้งสองแต่งในลังการาวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ระบุว่า ในราวปี พ.ศ. ๒๓๕ พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๗๐- ๓๑๑) ได้อาราธนาพระสมณทูต อัญเชิญพระไตรปิฎกออกเผยแผ่ไปยังดินแดนต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งสิ้น ๙ สาย หนึ่งในนั้นคือ ดินแดนสุวรรณภูมิ ที่นำโดยพระมหาเถระสำคัญทั้งสอง คือ พระโสณะ และพระอุตตระ ได้อัญเชิญพระไตรปิฎกลงเรือสำเภาจากดินแดนพุทธภูมิสู่รามัญประเทศ นับเป็นจุดเริ่มต้นในการประดิษฐานพุทธศาสนายังสุวรรณภูมิอย่างมั่นคง
“จารึกกัลยาณี” โดยพระเจ้าธรรมเจดีย์ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๓๕) กษัตริย์มอญแห่งหงสาวดี รับสั่งให้จารึกศิลา ๑๐ หลัก เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๒๒ อันเป็นแหล่งอ้างอิงประวัติพุทธศาสนาที่สำคัญของชาติต่างๆ ระบุว่า “สุวรรณภูมิ” สถานที่ซึ่งสมณทูตของพระเจ้าอโศกทั้งสองได้นำพระไตรปิฎกมาถึงนั้นมีชื่อเรียกว่า “รามัญประเทศ” หรือ “ประเทศของชาวมอญ” ปัจจุบันคือดินแดนทางตอนใต้ของ “ประเทศเมียนมา”
การอภิปรายในแวดวงวิชาการจากหลักฐานเท่าที่พบ พอจะสรุปได้ว่า “สุวรรณภูมิ” คือดินแดนทางตะวันออกของอินเดีย ส่วนที่เป็นแผ่นดิน มีความเป็นไปได้ว่า น่าจะเป็นประเทศเมียนมา ไทย ลาว และกัมพูชา ส่วนที่เป็นเกาะน่าจะได้แก่ ชวา สุมาตรา (อินโดนีเซีย) และฟิลิปปินส์ และเมื่อพิจารณาหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พบว่า เมืองสะเทิม เมืองอู่ทอง และเมืองนครปฐม สมัยทวารวดี มีอายุเก่าแก่ที่สุดและร่วมสมัยกัน คือ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑
อย่างไรก็ตาม ตำนานการอัญเชิญพระไตรปิฎกโดยสำเภาจากชมพูทวีปสู่สุวรรณภูมิยังคงเป็นสัญลักษณ์ทางจิตใจให้โน้มน้าวถึงวาระสำคัญแห่งการมาถึงของพระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ แสดงถึงความมั่นคงในศรัทธาของชาวมอญ กระทั่งสืบทอดความเชื่อตามคติมอญมาจวบจนปัจจุบัน อันนับเป็นเอกลักษณ์วัดมอญอย่างหนึ่งที่มักจะขาดเสียไม่ได้ นั่นคือ พระเจดีย์สามองค์ (แทนพระไตรปิฎก) ตั้งอยู่บนเรือสำเภา

“ร่างทรงคนสุดท้าย”

       
      “ร่างทรงคนสุดท้าย” ในคาซัคสถานและพิธีล้างบาปให้กับสาวก  พิธีกรรมต่างๆ ที่มีขึ้นแตกต่างกันไปในทั่วโลกก็คงจะสร้างความประหลาดใจให้กับคนต่างถิ่นที่ได้เข้ามาสัมผัสหรือพบเห็น ไม่ต่างกับช่างภาพคนนี้ที่มีชื่อว่า Denis Vejas ที่เข้าไปเก็บภาพพิธีกรรมที่ไม่ธรรมดาในคาซัคสถาน เขาได้ใช้ช่วงฤดูหนาวเก็บเอาเรื่องราวต่างๆ จากการเดินทางของร่างทรงที่เปรียบได้กับผู้นำทางศาสนาของ Sufism นับเป็นแขนงหนึ่งในศาสนาอิสลาม กับหน้าที่ในการออกเดินทางไปเรื่อยเพื่อการรวมศาสนาลึกลับต่างๆ และวัฒนธรรมพเนจรเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์
เธอคนนั้นมีชื่อว่า Bifatima Dualetova เรียกได้ว่าเธอนั้นเป็นหนึ่งในร่างทรงที่เหลืออยู่เป็นกลุ่มสุดท้ายในประเทศนี้ และหาได้ยากยิ่งมาก แม้ว่าภาพที่ได้มาอาจดูน่าตกใจอยู่บ้าง แต่นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกที่ผูกขาดให้เกิดความเคารพและยำเกรงอย่างมากในพื้นที่นั้นๆ
การนับถือความยากจนทำให้เธอใช้วิธีการเดินไปหมู่บ้าน Scared ท่ามกลางความหนาว เพื่อการประกอบพิธีชำระบาปให้กับเหล่าผู้ติดตาม พิธีดังกล่าวต้องทำการตัดหัวแกะออกและอาบเลือดของมันในห้วยน้ำที่เย็นยะเยือก จากข้อมูลที่เธอให้มาก็ได้มีพิธีกรรมที่เลียนแบบเกิดขึ้น เมื่อมาถึงก็ถูกปลกคลุมไปด้วยเลือดและจึงจะล้างตัวด้วยน้ำ
ช่างภาพที่ติดตามเธอไป ได้บอกว่า “มันก็เหมือนกับการเดินทาง แต่มันคือการเดินทางที่ต้องเจอกับคนที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับหลักปรัชญาที่เป็นแกนหลักของชีวิตชุมชน” เขาบอกอีกว่าผู้ติดตามบางคนก็จะมาอยู่กับเธอเพียงไม่กี่วัน แต่บางคนที่มองว่าเธอเป็นผู้รอบรู้ก็จะมาอยู่กับเธอนานเป็นปี มันเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์อย่างแท้จริงทำให้เขาต้องตกอยู่กับความอัศจรรย์ และเกือบที่จะบังคับให้จิตใจตัวเองเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวได้
หากว่าคุณสนใจผลงานเหล่านี้แล้วละก็สามารถเข้าไปติดตามช่างภาพคนนี้ได้ในอินสตาแกรม denisvejas หรืออีกช่องทางคือเว็บไซต์ denisvejas




บ้านผีสิงตรงทางสามแพร่ง

  
  บ้านผีสิงตรงทางสามแพร่ง
   
      วันนี้พอจะว่างผมจะมาเล่าประสบการณ์ที่ตัวผมนั้นเคยมีโอกาศใช้ชีวิตอยู่ในบ้านผีสิ่งนานเกือบ 10 ปี บ้านหลังนี้เป็นตึกแถวอยู่ริมถนน และตรงข้ามบ้านเป็นซอยพอดิบพอดี เข้าตำราทางสามแพร่ง
ครอบครัวผมได้ย้ายมาอยู่ตั้งแต่ผมเด็กๆ ครอบครัวผมมีกันทั้งหมด 5คน พ่อ แม่ ผม น้องชาย น้องสาว และ บ้านหลังนี้เป็นบ้านสร้างใหม่ พอเข้าไปอยู่แรกๆ ยังไม่มีอะไร การเงินในบ้านผมก็เริ่มดีขึ้นจากการที่แม่ผมเปิดร้านช่วยพ่อผมหาเงินอีกทางเลยจ้างแม่บ้าน มาเพิ่ม 1 คน
ในช่วงแรกๆคนในบ้านผมจะยังไม่เจออะไร จะมีบ้างได้ยินเสียง แปลกๆ หรือเห็นอะไรหางตาแวบๆ จนกระทั่งมีคืนนึงแม่ผมฝันว่า… มีวิญญาณเร่ร่อน ดูทนทุกข์ทรมาณมายืนที่ปลายเตียงและขออยู่ด้วย เขาบอกว่าเขาทรมาน เขาไม่มีที่สิงสถิตย์ เลยไม่มีไครเอาของมาไหว้ เขาขออยู่กะแม่ด้วย ขอกินบุญของคนในบ้านนี้…
ในฝันแม่ผมกลัวก็กลัว แต่สงสารมากกว่า.. เลยตอบกลับไปว่า “ได้” . . . . ผมฟังแม่เล่าดังนั้นผมนี่อึ้งเลย โหหห ไม่ถามสุขภาพลูกหลานกันเลยสักคำ และต่อมาก็มีวิญญานพวกนี้ ก็มาขออยู่ด้วยเยอะขึ้นๆ
แม่ฝันทุกวันๆไม่ซ้ำหน้า แม่ผมใจดีให้อยู่หมด สงสัยมันไปปากต่อปาก…ว่าบ้านนี้เขาให้อยู่ จนกลายเป็นบ้านผีสิงในที่สุด คนในบ้านพบเจอสิ่งแปลกๆ มาโดยตลอดและก็หนักขึ้นๆ ทุกวัน เพราะแม่ผมไม่คัดวิญญานเลย บางตัวก็ดีบางตัวก็กวนบาทา
คนที่จะเจอบ่อยๆ ช่วงแรกจะเป็นผม และก็แม่ ส่วนพ่อกับ น้องชายน้องสาวผมไม่ค่อยเจอ เจอบ้างประปลาย มาถึงตรงนี้เรื่องผีที่ผมจะเล่าอาจไม่ต่อเนื่อง สลับช่วงเวลาบ้างเพราะมันหลายเรื่องมากและมันก็นานมาแล้ว ผมจะเล่าเท่าที่จำได้นะครับ
EP.1 ผีเปิดประตู
บ้านผมการที่พวกแอร์พัดลมวิทยุทีวีเปิดเองเปลี่ยนช่องเองได้นั้นเป็นเรื่องปกติมาก จนคนในบ้านไม่มีคนกลัวแล้วครับ แต่มีครั้งนึงมันแสดงอภินิหารย์อยู่พอควร… คืนนั้นผมกะน้องๆนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนอน อยู่ดีๆประตูก็เปิดเอง แอด…..ด.ด.ด…ด.. น้องๆผมกระโดดมากอดผมแน่น ผมบอกไม่มีไรๆ พี่ปิดประตูไม่แน่นเอง ผมพูดปลอบใจน้องผมไปงั้น… แต่จริงๆผมปิดแน่นแล้ว ผมโมโหที่มันมาทำให้น้องผมกลัว ผมเดินไปปิดประตู ดังปั้ง !! แล้วก็ล็อคประตู แก๊ก!
ผมก็พูดเสียงดังว่า… “แน่จริงเมิงเปิดล็อค แล้วเปิดประตูให้ได้ดิ” 555 … แล้วก็เดินไปนั่งดูทีวีกะน้องๆต่อ ผมนั่งไม่เกิน30วิ ก็ได้ยินเสียงดัง แก๊ก! ผมหันไปที่ประตู… ตัวล็อคถูกแก้และลูกบิดประตูก็ค่อยๆหมุน กึก แอ๊ดดด.ด.ดด..ด เปิดอย่างช้าๆ!!
น้องผม 2 คนร้องลั่น!! ผมรีบลุกไปปิดประตูอีกครั้ง และล็อค บวกใส่กลอนประตูด้วย ผมก็วิ่งมาปลอบน้องว่าไม่มีไรๆพี่ปิดไม่ดีเอง กว่าน้องจะหายจากตกใจผมปลอบอยู่นานพอควร จบเรื่องแรก จากที่ผมเล่าพวกคุณคงรู้แล้วว่าผมเป็นคนไม่กลัวผี ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอเลยไม่กลัว แต่เจอบ่อยจนชิน…T^T
EP.2 วิญญาณเด็ก
มีอยู่วันนึง… ลูกค้าในร้านเห็นเด็กวิ่งเล่นในร้านและวิ่งขึ้นไปบนบ้าน เค้าก็เลยถามแม่ผมว่า… “เด็กที่ไหน”
แม่ผมก็งง เพราะวันนั้นไม่มีใครอยู่บ้าน แต่แม่ก็กลัวลูกค้าจะกลัวไม่มาอีก ก็ไม่ตอบอะไร จนมีคนเห็นหลายครั้งเข้า จนทำให้คนงานที่บ้านผมขวัญผวา และช่วงนั้น คนในบ้านก็จะได้ยินเสียงเด็กหัวเราะอยู่บ่อยครั้ง จึงเกิดความสงสัยขึ้นว่าเด็กพวกนี้มากจากไหน? ถามแม่ แม่ก็บอกว่าไม่มีวิญญานเด็กมาขออยู่ด้วยเลยนะ แม่ผมก็เชิญลุงผมมา ลุงผมเป็นอาจารย์ด้านนี้ ลุงผมมาถึงหน้าบ้าน ตั้งจิตสักครู่เดียว ก็เดินตรงดิ่งไปที่หลังบ้าน งัดกระจกบานเกล็ดออก แล้วก็เอามือลวงไปหยิบอะไรบางอย่างออกมา
ลุงก็บอกว่า.. “เจอแล้วอยู่นี้ไง” พอลุงแบมือสิ่งที่อยู่ในมือของลุงคือ… รูปปั้นเด็กหรือที่เรียกว่ากุมาร 2 องค์!!
แม่ผมตกใจมาก และก็งงมากด้วยว่ามันมาอยู่หลังบ้านเราได้ยังไง ลุงผมบอกว่าเด็กบ้านข้างๆไปขโมยมาจากวัด แต่กลัวไม่กล้าเก็บไว้เลยเอามาวางไว้หลังบ้าน พอไปถามเด็กข้างบ้าน มันก็ยอมรับสารภาพว่ามันทำแบบนั้นจริงๆ ลุงผมก็ถามแม่ผมว่าจะเลี้ยงไว้เลยไหม จะบอกให้… แม่ผมก็ตามสไตล์เขา ใจดีตลอด วันนั้นผมเลยได้น้องมาเพิ่ม…2 ตน
EP.3 ผีกดออดหน้าบ้าน
เคยได้ยินเรื่องที่ว่า.. ถ้ามีคนมากดออดบ้านเวลาตี 3 คนในบ้านห้ามทักไหม? ผมเจอมาแล้ว…
คืนนั้นตี 3 มีคนมากดออดที่บ้านผม ผมก็ลงไปดู แต่ด้วยความที่ผมรู้เรื่องพวกนี้เยอะ ผมเลยไม่ถามว่าใคร เพราะนั่นคือการตอบรับให้วิญญานเข้าบ้าน ผมเปิดประตูออกไปดูเลย ปรากฏว่าไม่มีใคร แล้วผมก็ขึ้นไปนอนโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า… ผมได้ทำการ “ทัก” ไปแล้ว โดยการเปิดประตูให้เลยทีเดียว
โถ่เอ๋ย ไอเราก็แค่คิดว่าห้ามถามหรือทักว่า “ใคร” เฉยๆ..
วันรุ่งขึ้นมันเอาเลยครับ ข้าวของในบ้านผมย้ายที่หมด พัดลมไปอยู่กลางบ้าน เก้าอี้ล้ม ข้าวของสลับที่หมด
ผมกับที่บ้านตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น นึกว่าขโมย แต่ดูแล้วไม่มีอะไรหาย พอเปิดตู้เย็นถึงกับช็อคเลยครับ ของที่อยู่ในช่องแช่แข็งย้ายมาอยู่ในช่องธรรมดา ของที่อยู่ในช่องธรรมดาไปอยู่ในช่องแช่แข็งหมด ที่บ้านผมกินน้ำสิงห์เป็นขวดแก้วอะครับ น้ำแตกหมดทุกขวดเพราะเย็นจัด ของที่อยู่ในช่องฟรีซแล้วมาอยู่ช่องปกติก็เน่า + ละลายหมด
ทันใดนั้นผมได้กลิ่นไหม้แล้วได้ยินเสียง วี๊ดดดดดดดด ผมรู้ทันทีเสียงจากเครื่องทำน้ำร้อน ผมรีบไปดูปรากฏว่ามีควันออกจากเครื่องทำน้ำร้อน ผมจึงรีบดึงออก พอตรวจดูปรากฏว่ามีคนเสียบปลั๊กโดยที่ในเครื่องไม่มีน้ำ ทำให้เครื่องไหม้ ต่อด้วยได้ยินเสียงเครื่องไมโครเวฟทำงาน อืดดด…. ผมก็รีบก้มไปปิดและดึงปลั๊กออกทันที พอเปิดไมโครเวฟก็เจอช้อนเงินกะส้อมอยู่ข้างในเต็มไปหมด ผมเริ่มรับมือไม่ไหวเลยไปปลุกแม่ ให้มาช่วยรับสถานะการณ์
พอเล่าให้แม่ฟัง..แม่บอกว่า…ไม่น่าใช่ตัวที่อยู่ในบ้านเราเพราะมันไม่เคยทำแบบนี้ ผมนึกขึ้นได้เรื่องเมื่อคืนก็เล่าให้ฟัง แม่ผมบอกไอบ้า แกเปิดประตูให้อะยิ่งกว่าทักเขาอีก แม่เลยตะโกนลั่นบ้านใส่ผีว่า เมิงหยุดเดียวนี้ เดียวกุจะไปทำบุญให้ แต่ถ้าเมิงไม่เลิกก็อย่าเอาเลยบุญละกัน แล้วแม่ผมก็ไปทำบุญโดยให้ผมอยู่บ้านดูสถานการณ์ กลัวบ้านไฟไหม้.. แล้วหลังจากนั้นก็สงบไม่มีอะไรรุนแรง แต่ เหมือนเดิมครับ มันก็ไม่ไปไหนมันก็อยู่ในบ้านผมต่อเลย – -”
หลังจากเหตุการเรื่องที่ สาม ดูเหมือนผีในบ้านผมมันจะได้ใจ มันเที่ยวหลอกคนนั้น คนนี้ไปทั่ว จนคนใช้บ้านผมต้องลาออกไป และไม่ว่าจะจ้างใครมาใหม่ เขาก็จะโดนหลอกจนหนีไปทุกครั้ง การงานพ่อผมก็แย่ลงๆ ทำไรก็ไม่ขึ้น แม่ผมก็ค้าขายไม่ได้เลย จนแม่ผมทนไม่ไหว.. ตะโกนด่าผีอีกเช่นเดิม…
“พวกเมิงมาขออยู่ทำไมไม่ช่วยเหลือกุบ้าง หวยอ่ะเคยบอกกุสักงวดไหมมม” (พอถึงตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมแม่ผมถึงให้อยู่ จะเอาหวยนี้เอง โถ่ถ่ถ่ถ่ถ่ถ่ถ)
แม่ผมพูดต่อ.. “กุให้อยู่ ทำบุญให้ก็ดีแล้ว พวกเมิงยังจะก่อความเดือดร้อนอีก มาหลอกลูกกุมั่ง หลอกลูกค้ามั่ง หลอกพนักงานมั่ง” … “ต่อไปนี้กุขอสั่งเลยว่าให้พวกเมิงอยู่ได้แค่ชั้น 3 ของบ้าน ห้ามลงมาเด็ดขาด ไม่งั้นก็ออกไป” (บ้านผมมี3ชั้นครึ่ง มีชั้น1 ชั้น ลอย ชั้น2 และชั้น3)
ผมรีบสะกิดแม่ แม่ๆ ชั้น 3 มันห้องพระไม่ใช่เหรอ? แม่บอกช่างมัน อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็เรื่องของมัน (โหดแท้ ชั้น 3 ผม จะแบ่งเป็น 2 ห้อง ห้องแรกถ้าเดินขึ้นไปก็จะเจอเลยคือห้องเก็บของ ห้องต่อไปคือห้องพระ และเป็นห้องนอนคนใช้ด้วย)
ตั้งแต่นั้นมาเหมือพวกมันจะเชื่อฟังพอควรเหตุการณ์แปลกเริ่มน้อยลง แต่ได้อย่างอื่นมาแทน พวกผมนอนห้องเดียวกันหมด ซึงอยู่ชั้น 2 อยู่ใต้พวกมันพอดี . . . . .และความกวนบาทาก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
EP.4 ผีเล่นลูกแก้ว
เนื่องจากด้วยคำสั่งประกาศิตของแม่ผม พวกผีทั้งหมดก็ไปอยู่ชั้น 3 เหนือขึ้นไปบนห้องนอนของครอบครัวผม
ผมคิดว่าพวกมันคงอยากประท้วง มันเลยหาวิธีที่ผมถือว่ากวนบาทา และน่ารำคาญที่สุดใน 3 โลก ทุกคืนเวลา 5 ทุ่มเป็นต้นไป เวลาที่บ้านผมกำลังจะหลับกัน ก็จะได้ยินเสียงคน(?)ดีดลูกแก้ว ดัง กิ๊ก . . . . . . . . กิ๊ก . . . . . กิ๊ก . . . กิ๊ก . . กิ๊ก กิ๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จนเงียบไป (ใครเคยดีดลูกแก้วในบ้านจะเข้าใจ) มันจะเล่นอยู่แบบนั้นทั้งคืน ขอย้ำว่า ทั้งคืนจริงๆครับจนเช้า
ครอบครัวผมต้องทนฟังเสียงเล่นลูกแก้วทั้งคืนทุกวันนานหลายปีเลยครับ วันใหนแม่ผมทนไม่ได้ก็เอาไม้กวาด กระทุงเพดานและก็พูดว่า..
"เงียบๆโว้ยยยย คนจะนอน” . . . ก็เงียบไปชั่วอึดใจ จนสิ้นสุดเสียงแม่ มันก็เล่นทันทีครับ กิ๊ก กิ๊ก กิ๊ก
EP.5 ผีชั้น 3
เนื่องจากชั้น 3 เป็นห้องเก็บของและห้องพระ มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผมจะต้องขึ้นไปบ่อยๆ ไปหาของมั่ง ไปเปลี่ยนน้ำพระทุกวันพระมั่ง
ถามว่าทำไมเป็นผม? เพราะมีผมกะแม่แค่ 2 คนในบ้าน ที่กล้าพอจะขึ้นไปชั้น 3 ผมเคยลองให้เพื่อนๆผมมาเที่ยวบ้านและบอกให้ขึ้นไปหยิบของชั้น 3 โดยที่ผมไม่เล่าอะไรให้มันฟังทั้งสิ้น ทุกคนได้แต่ยืนอยู่หน้าประตูทางขึ้นชั้น 3 โดยไม่มีใครกล้าขึ้นไปสักคน ทุกคนจะบอกว่า..
“ไม่รู้ทำไม แต่ขามันไม่ขยับ ร่างกายบอกว่าอย่าขึ้นไปๆ”
มันก็ถาม… ชั้น 3 มีอะไร ผมก็จะเล่าให้ฟังทุกคนและทุกคนก็จะด่าผม 555 ผมแค่อยากให้เพื่อนได้ประสบการณ์ชีวิตดีๆเท่านั้นเอ๊งง
กลับมาเข้าเรื่อง ทุกครั้งที่ผมขึ้นไปชั้น 3 บรรยากาศมันน่าขนลุกมาก ขนาดผมเป็นคนไม่กลัวนะ เหมือนอากาศมันมีน้อย หายใจไม่ค่อยสะดวก ผมต้องเดินผ่านห้องเก็บของเพื่อไปเปลี่ยนน้ำในห้องพระ ระหว่างทางก็ต้องเดินผ่านของเก่ารุ่นคุณปู่คุณย่ามากมาย
แต่มีอยู่สิ่งนึงที่เตะตาผมที่สุด คือชั้นกระจกส่องหน้า เก่าแก่พอควร 50 กว่าปีน่าจะได้ ซึ่งทุกครั้งที่ผมเดินผ่าน ถ้าผมหันไปมองผมจะเห็นชายชราอยู่ในกระจกทุกครั้งในลักษณะแบบเต็มหน้า คือไม่ได้เห็นเป็นตัวเล็กๆ หรือเงาลางๆนะครับ เต็มหน้าเลยครับ ผมเห็นครั้งแรกผมตกใจและก็ทำเป็นไม่เห็น เดินผ่านไป… และทุกครั้งที่ผมเดินผ่าน ถึงผมจะไม่หันไปมองผมก็รู้ได้ว่าเขามองผมอยู่ตลอด ขนผมจะลุกชูชันทุกครั้งที่ไปเปลียนน้ำพระ พอผ่านไปได้ก็จะเจอประตูทางเข้าห้องพระ ซึ่งจะไม่เคยปิดและจะเปิดไฟในห้องนี้ไว้ตลอด ไม่เคยปิดยกเว้นหลอดขาด
พอเข้าห้องพระได้ ก็จะเจอกับสิ่งศักสิทธิ์มากมาย ซึงผมไม่ได้รู้สึกอุ่นใจเลยแม้แต่น้อย เพราะอะไรนะรึ? ห้องพระนี่แหละที่แรงที่สุดในบ้านผมเลย!! อยู่ได้ไม่เกิน 5 นาทีครับ รีบเปลี่ยนรีบไป เหมือนไอพวกวิญญาณพวกนี้มันไม่ได้กลัวพระเท่าไหร่ อันนี้รู้สึกเอาเองนะครับ ตรงห้องพระจะมีประตูเปิดไปที่ระเบียงเล็กๆ และที่ระเบียงเล็กๆจะมีพญาครุฑ 1 องค์ แม่ผมนำมาตั้งไว้แก้อาถรรพ์ทางสามแพร่ง โดยวางพญาครุฑ ไว้ตรงกับซอยตรงข้ามเด๊ะๆ และหันหน้าต่อสู้กับอาถรรพ์นั้นตรงๆ
เชื่อไหม.. ทุกครั้งที่ผมขึ้นไป จงอยปากของพญาครุฑกุดลงๆทุกวัน เหมือนท่านก็สู้ให้อยู่นะ..แต่แรงเกิน
หลังจากที่ผมทำธุระเสร็จก็ถึงเวลากลับ ไอขากลับเนี่ยขอบอกครับ มันน่ากลัวกว่าขามาเยอะ วิ่งได้วิ่งอะครับ มันเหมือนตัวหนักๆ เหมือนมีคนดึงแบบไม่ให้ไปๆ ทางเดินสั้นๆก็กลายเป็นยาวเดินแสนยาวนาน กว่าจะถึงบันใดลง..ต้องเดินผ่านคนแก่ที่กระจกอีก 1 รอบ พอถึงบันไดลงปุ๊ป ประตูทางขึ้นชั้น 3 ที่ตอนแรก ผมเปิดแล้วเอาของวางกันไม่ให้ปิดอยู่นั้น… มันจะปิดเองดัง ปั้ง!!! ต่อหน้าต่อตาผมทุกครั้งที่ผมเดินถึงบันได (ผมมั่นใจว่าถ้าไม่ใช่ผม แต่เป็นคนอื่นคงสติแตกไปแล้ว) มันจะปิดเองทุกครั้งที่ผมเดินถึงบันใดทางลงชั้น 3 ไม่ว่าผมจะเอาไรไปวางขวางไม่ให้มันปิดก็ไม่ได้ผล ผมก็จะรวบรวมสติให้ตัวผมนั้นไม่ตกใจ โดยการพูดออกไปว่า..
“ปิดหาพ่องเมิงหรือออ กุถือของอยู่กุจะเปิดยังไงงง”
แล้วก็เอือมมือไปเปิด พอก้าวลงมาชั้น 2 เท่านั้น.. อากาศก็กลับมาเป็นปกติ ตัวที่แสนหนักอึ้งของผมก็เบาลง ผมสูดหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง แล้วผมก็จะอุทานในใจว่า เฮ้อ "รอดและเรา"ทุกครั้ง
EP.6 ผีช่วยชีวิต
ตอนนั้นผมน่าจะอยู่ ม.3 วันนั้นเป็นวันเสาร์ ผมนอนเล่นอยู่ในห้องคนเดียว อยู่ดีๆผมก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สบายหนักมาก หายใจไม่ออกตัวร้อนมากเหงื่อออกท่วมตัว ไม่มีแรงจะขยับไปไหน ตอนนั้นรู้สึกอย่างเดียวเลยว่าตายแน่ๆ จะตะโกนให้แม่ช่วยก็ไม่มีเสียง ผมได้แต่นอนนิ่งๆและก็พูดในใจว่า..ใครก็ได้ช่วยผมด้วย ผมยังไม่อยากตาย ทำไมตอนนั้นผมถึงคิดว่าผมจะตายก็ไม่รู้ แต่ตอนนั้นผมไม่ไหวแล้วจริงๆ และผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตู แอ๊ดดดด…ด
ผมใช้แรงทั้งหมดมาที่เปลือกตา เพื่อลืมตาขึ้นมาดูว่าใครมา ผมลืมตาได้แค่ข้างเดียวก็ไม่เห็นมีใครเข้าห้องมา แต่ผมกลับได้ยินเสียงคนกำลังเดินเข้ามาหาผม เดินใกล้ๆเข้ามาเรื่อยๆ ตอนนั้นผมไม่สนอะไรทั้งนั้นเพราะผมไม่ไหวแล้ว จู่ๆบริเวณเตียงที่อยู่ข้างๆผมก็ยุบลงไป เหมือนมีคนมานั่งข้างๆผม
ผมพูดในใจว่าช่วยผมด้วย ทันใดนั้น.. ผมก็รู้สึกว่ามีคนเอามือที่เย็นเชียบมาวางที่ปลายเท้าผม แล้วค่อยๆลูบขึ้นมาทางหัวผม ตรงไหนที่มือเขาลูบผ่าน ผมจะรู้สึกเย็นสบายทันที พอมาถึงช่วงตัวผมรู้สึกได้ว่าเวลาเขาลูบผ่านมันรู้สึดีมากๆ เย็นสบายตัว จนมาถึงหัว ผมก็หายไข้ทันที เดี๋ยวนั้นเลยครับ!! และผมก็เด้งลุกตัวขึ้นมาสำรวจตัวเอง.. เฮ้ย! หายแล้วจริงๆด้วย ไม่น่าเชื่อ ผมก็มองไปที่ร่องที่ยุบลงไปมันยังยุบอยู่ เหมือนเขายังนั่งอยู่ผมก็คุกเข่าแล้วกราบเขาทันที ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เป็นอะไร แต่เขาช่วยชีวิตผม ผมขอบคุณมากครับ และรอยยุบก็หายไป…
ตั้งแต่นั้นผมรู้เลยว่า.. “ผีดีๆก็มีนะเฮ้ยยย ในบ้านเราเนี่ย”
EP.7 ในบ้านหลังนี้มีตัวผมอยู่ 2 คน
ไม่ว่าใคร..เพื่อนที่มาบ้านหรือแม้กะทั่งคนในบ้านผมเอง ก็จะเจอเหตุการณ์ประหลาด คือเขาจะเจอตัวผมมี 2 คน!!
ครั้งแรกที่มีการเจอผม 2 คนนั้น คือตอนม.ต้น เพื่อนผมมาเที่ยวบ้าน มันชื่อไอกบ ผมกับกบก็สนิทกันมาก มีครั้งนึงมันมาเยี่ยมบ้านผม ซึ่งมันไม่ค่อยมีเพื่อน ผมยอมมาหาผมที่บ้านไม่บ่อยเท่าไหร่ เพราะมากี่คนก็เจอทุกคน
พอกบมาถึงผมก็ให้มันนั่งเล่นเกมส์ไปก่อน ส่วนตัวผมเดินขึ้นไปห้องนอนไปเปลี่ยนเสื้อ พอผมเดินลงมาผมได้ยินเสียงไอกบคุยกะใครบางคนอยู่ อย่างสนิทสนม… ผมยืนฟังอยู่นาน ผมก็งงว่า.. “มันพูดกับใครวะ” ยุคผมตอนนั้นไม่มีมือถือนะครับมีแต่เพจเจอร์ พอผมเดินไปหามัน ผมกำลังจะถามว่าเมิงคุยกับใครวะ มันก็พูดสวนผมมาเลยว่า… “ไหนละน้ำกุ?”
ผมงงเลย ผมบอก..”น้ำไรของเมิง” มันบอก… “ก็เมื่อกี้ที่เมิงยืนอยู่ตรงตู้เย็นแล้วถามกุว่า กุจะเอาน้ำไหมอะ กุบอกเอา ละไหนล่ะน้ำกุ”
ผมบอก.. “กุขึ้นไปข้างบนมาตั้งแต่เมิงเข้าห้องอ่ะ ไปเปลี่ยนเสื้อเพิ่งลงมา กุยังไม่ได้คุยอะไรกะเมิงเลย” … “กุก็กำลังจะถามเนี่ย ว่าเมิงคุยกับใคร?!!”
กบบอก… “ไม่ได้คุยห่านไรล่ะ เมิงยืนคุยกะกุอยู่ตั้งนานที่ตู้เย็นอ่ะ”
ผมบอกมันไปทันที… “กบกุดีใจกะเมิงด้วย กุว่าเมิงเจอแล้วล่ะ…”
เท่านั้นแหละ ไอกบไม่พูดอะไรแล้วเก็บของกลับบ้านเลย และก็ไม่มาอีกเลย เจอกันที่โรงเรียนมันด่าผมใหญ่…ทำไมเมิงไม่เตือนกุก่อนนนน!! ผมบอกก็กุไม่รู้ ว่ามันจะมามุขนี้ นี่มุขใหม่มันเลยนะ!
คนที่เจอต่อมาคือ น้องสาวผม.. ตอนนั้นผมเรียนเสร็จและกำลังจะพาน้องๆออกไปหาไรกินแถวบ้าน ผมก็เดินขึ้นไปชั้นบน ไปห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อพอเปลี่ยนเสร็จผมก็เปิดประตูห้องไปเจอน้องสาวผมยืนอยู่หน้าห้องพอดี
พอน้องผมเห็นผมออกมาจากห้อง นางก็ร้องกรี๊ดดดด เสียงดังลั่นบ้าน น้ำตาไหล ตัวสั่น แบบช็อคสุดๆ ผมเขย่าตัวน้องผม ถามว่า..“เป็นไรๆเฮ้ย ใจเย็นๆ มีอะไรบอกมา ตั้งสติๆ”
น้องผมบอกว่า… “มะกี้หนูเพิ่งคุยกับพี่ พี่เพิ่งเดินลงไปข้างล่าง หนูบอกพี่ว่าหยิบของขึ้นมาให้ด้วย…แล้วพี่ก็ตอบว่า “เออ” แล้วหนูก็เดินขึ้นมาชั้น 2 เพื่อจะเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อ แล้วพี่ก็เปิดประตูออกมา! ออกมาได้ไง?!!
เออ..ออกมาได้ไงอะ? แล้วก็ร้องไห้ใหญ่เลย “มะกี้พี่อยู่ข้างล่างอ่ะ หนูพึ่งคุยอยู่เลย”
ผมก็บอกน้องว่า.. “ออกจากห้องรับแขก พี่ก็เดินขึ้นมาเลยและก็ไม่ได้คุยอะไรกับน้อง ไม่ได้ยินน้องถามอะไรและก็ไม่ได้ตอบอะไรด้วย”
ผมเรียกน้องชายผมให้มาอยู่กับน้องสาว และตัวผมก็วิ่งไปชั้น 1 เพื่อหาไอตัวที่ว่านั้น ว่ามันอยู่ไหน มาหลอกน้องผมได้ เดี๋ยวจะต่อยสักหมัด (ถ้าต่อยโดน) แต่ก็ไม่มีอะไรเลย… ทุกวันนี้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเล่าทุกครั้งที่ครอบครัวผมมากินข้าวด้วยกัน ตอนนั้นผมยังคิดอยู่ว่า..น่าจะแกล้งน้องผมโดยการบอกว่าแน่ใจเหรอว่าคนที่ออกจากห้อง เป็นพี่ . . . .
คนต่อมาที่เจอ ตอนนั้นผมเปิดร้านเกมส์ที่ชั้น 1 ก็จ้างคนคุ้มร้าน ซึ่งก็เป็นพวกเพื่อนๆกะน้องๆแถวบ้านทั้งนั้น
มีคืนนึงผมตื่นมาตอนตี 3 ผมหิวมากก็เลยเดินลงมาเพื่อจะไป 7-11 พอผมเดินลงไปถึงร้านเท่านั้นแหละ ไอน้องผมที่เป็นคนคุ้มร้านมันก็ทำหน้าช็อคสุดๆ มองผมตาค้างตลอด ผมก็บอก… เมิงเป็นไร ยิ้มอะไร กุจะไป 7-11 เมิงจะเอาไรไหม มานก็ยังมองผมด้วยอาการอึ้งอยู่ ผมบอก..เห้ย เป็นห่านไร กุจะไป 7-11 ตกลงเมิงจะเอาไรไหม แล้วมันก็บอกผมว่า…
“พี่กลับมาตอนไหน ทำไมผมไม่เห็น?!”
ผมบอก.. “กลับมาไร กุเพิ่งลุกจากที่นอนแล้วลงมาเนี่ย”
เท่านั้นแหละ! มานหน้าซีด ขนลุกจนเห็นได้ชัด มันบอกว่า.. เมื่อกี้เนี่ย ผมเพิ่งลงมาแล้วก็ถามมันว่าจะไป 7-11 จะเอาไรไหม . . . . . . . ผมก็บอกมันอีกครั้งว่ากุเพิ่งลงม๊าาา ผมก็ถามว่าไอคนที่เมิงคุยอ่ะมันใส่ชุดไร มันก็บอกว่า.. ก็ชุดนี้อ่ะ!
ผมบอกมันไปว่าแล้วเมิงได้ฝากมันซื้อไรปะล่ะ มันบอกเปล่า.. ผมบอกดีละที่ไม่ฝาก ถ้าฝากเดียวมันก็จะต้องเอากลับมาให้ 555 ว่าแล้วผมก็ไป 7-11
จริงๆเหตุการณ์ที่มีคนเห็นผมมี 2คน มีอีกหลายเหตุการณ์.. แต่ผมจำได้บ้างไม่ได้บ้าง และจะมีคนเห็นก็ต่อเมื่อผมอยู่ในบ้านเท่านั้น และก็มีแต่ผมที่มี 2 คน นอกนั้นคนในบ้านก็ปกติ แล้วคุณล่ะ? มั่นใจรึเปล่าว่าคนที่นั่งเล่าให้คุณฟังเป็นผมจริงๆ
EP. 8 ผีอิสลาม
ผีตัวนี้จริงๆมันเป็นต้นเหตุของความหลอนในบ้านเลยก็ว่าได้ ครอบครัวผมเคยจับเข่าคุยกันหลายครั้งว่าจะย้ายหนี ไม่ไหวแล้ว นอกจากเจอหลอก เจอเสียงลูกแก้ว และอีกต่างๆนาๆ แต่พวกนั้นไม่เท่าไหร่ ที่หนักสุดจะเป็นอยู่แล้วไม่เจริญครับ คือทำไรก็เจ๊งหมด ครอบครัวมีแต่เรื่องทะเลาะกัน อยู่แล้วไม่มีความสุขอ่ะครับ แต่พอคิดจะซื้อบ้านใหม่ทีไรก็จะมีปัญหาทำให้ไม่ได้ซื้อทุกครั้ง พอทำธุรกิจอะไรก็จะมีเรื่องแปลกๆมาทำให้เจ๊งตลอด
และแล้วก็มีคืนนึงที่ผมได้มีโอกาศเจอตัวการใหญ่ของวิญญานเฮี้ยนของบ้านหลังนี้… ผีอิสลามทั้ง 5 ตน มีคืนนึงผมฝันว่า มีคนพยายามพังประตูเข้ามาในห้องนอนผม ผมก็เอาตัวดันไม่ให้เข้า ผมก็ถามว่า..จะเข้ามาทำไม ไม่ให้เข้า คนที่จะเข้าก็บอกว่า.. มีเรื่องจะคุยด้วยจะไม่ทำร้ายตัวผม
ผมก็อ่ะ จะเข้าก็เข้ามา มีไรก็รีบคุย ผมก็เปิดประตูให้มัน สิ่งที่ผมเห็น (ในฝันนะครับ) คือคนอิสลาม 5 คน เดินเรียงกันเข้ามาในห้อง ผมจำหน้าตาพวกเขาได้แม่น มีเด็ก ประมาณ ม.ต้น 1 คน ประถม 2 คน วัย 30 กว่าๆ 1 คน และคนแก่ 1 คน ทุกคนล้วนเป็นผู้ชาย ที่ผมรู้ว่าพวกเขาเป็นอิสลาม เพราะพวกเขาใส่ชุดที่จะไปละหมาด และทุกคนก็หน้าตาเหมือนคนใต้ แถว 3 จังหวัดชายแดนอะไรงี้ครับ
ผมก็เริ่มคุยกับเขา แต่การคุยกันนี้… ไม่มีไครขยับปาก เหมือนคุยกันทางจิต ผมถามว่าต้องการอะไร พวกเขาก็บอกว่า พวกเขาหิวมากทรมานมาก เราไม่ทำบุญให้เขาเลย ด้วยความที่ในฝันผมโมโหอยู่ ผมก็บอกว่า.. “เออๆ เดียวทำบุญไปให้ รีบๆไปได้แล้ว คนจะนอน…”
แล้วผมก็ตื่น ผมมานั่งทบทวน แม่ผมก็ทำบุญบ่อยทำไมไอพวกนี้ไม่ได้ และอีกอย่างที่ผมแปลกใจ ผมเจอผีทุกตัวที่แม่ผมให้อยู่ในบ้านหมดแล้ว แต่ทำไมไม่เคยเจอ 5 ตัวนี้ ผมก็ไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่า.. “คนอิสลาม 5 คนเหรอ? แม่ไม่เคยเจอนะ ไม่เคยให้อยู่ด้วย” ผมก็อ๋อ เพราะแม่ผมไม่เคยเจอ เลยไม่รู้ว่ามี 5 ตัวนี้อยู่ เลยไม่ได้ทำบุญให้
และแล้วผมกับแม่ก็ไปทำบุญให้ พอทำบุญให้ปั๊ป มีปัญหาเลยครับ… ไอนั่นแตกไอนี่พัง ไม่ได้ดังหวังสักคนในบ้าน แม่กับผมเลยไปหาหมอดูที่เขาบอกว่าแม่นมาก ไม่ขอเอยชื่อแล้วกันนะครับ
อาจารย์บอกว่า… ที่บ้านผมเป็นแบบนี้ เป็นเพราะมีผีอิสลาม 5 ตัว คอยดึงอยู่ ผมกะแม่สะดุ้งเลย เขารู้ได้ไง? ตอนนั้นต่อมสันนิษฐานผมพรุ่งขึ้นเลยทีเดียว ผมก็บอกว่า.
“ครับผมเคยเจอแล้ว แต่ก็ทำบุญให้แล้วเขาจะเอาอะไร?”
อาจารบอกว่า… “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่บ้านน่ะ ผู้อยู่เบื้องหลังคือ 5 ตัวนี้แหละ!! เหมือนเป็นหัวหน้าแก๊ง”
“เขาตายถูกฝังอยู่ที่แถวนั้น และต่อมาก็มาสร้างบ้านที่พวกเราอยู่นั้นแหละ”
“และบังเอิญตรงกับทางสามแพร่ง และก็บังเอิญอีก ที่แม่เราใจดีให้พวกผีเรร่อนมาอยู่ มันเลยเอาไปเป็นลูกน้องซะเลย”
ผมกับแม่มองหน้ากันอีกรอบ รู้ได้ไงวะ ผมถามต่อ… “แล้วเขาต้องการอะไร” อาจารย์บอกว่าเขาไม่ชอบอย่างมากหากเรากินหมู หรือเอาอาหารที่เป็นหมูเข้ามาในบ้าน
แม่ผมบอก… “เอ้า ก็ครอบครัวฉันเป็นพุทธ” อาจารบอกว่า.. “นั้นแหละประเด็น เขาต้องการให้ครอบครัวเราเปลี่ยนมาเป็นอิสลามทั้งบ้าน”
แม่ผมบอกอาจารย์ว่า.. “ฝากอาจารย์บอกพวกมันด้วยว่าฝันไปเถอะ!”
ผมก็ขำแม่ 555 แล้วก็ปรึกษากับอาจารย์ว่าจะเอามันออกไปไงดี อาจารบอกว่า… ไม่มีทาง เพราะเขาอยู่ของเขาอยู่ก่อนแล้ว เราต่างหากที่ไปรบกวนเขา ทางแก้มีทางเดียว คิือย้ายออก ผมกับแม่ก็บอกอาจารย์ว่า.. พยายามย้ายออกหลายรอบแล้ว แต่มีเหตุให้ไปไม่ได้ตลอด
อาจารย์บอกว่า… อย่าให้มันรู้สิว่าเราจะออก พวกเขาอยู่ได้แต่ที่บ้าน เราก็ออกไปดูบ้านไว้ พอได้ถูกใจ ห้ามทุกคนในบ้านคุยเรื่องบ้านใหม่เด็ดขาด ห้ามพวกเขาได้ยินหรือรู้ว่าเราจะย้ายออกเด็ดขาด พอได้บ้านแล้วก็ค่อยๆขนของออกมาทีละชิ้นๆ ของทุกชิ้นต้องแปะยันต์ ไม่ให้ผีเข้าไปสิง ตามเราออกไปได้ พอขนหมดเราก็ไปเลยไม่ต้องกลับมาอีก
พอรู้ดังนั้นแม่ผมโมโหมาก ไปถึงบ้านแม่ผมด่าเลย.. “เป็นผีแล้วยังจะวุ่นวายอะไรอีก กุไม่เปลี่ยนเป็นอิสลาม และกุก็จะกินหมูทุกมื้อด้วย”
แม่ผมทะเลาะกับผีบ่อยมาก แม่ผมแค้นขนาดให้บะหมี่หมูแดงมาขายที่หน้าบ้าน 55555 คิดดูละกัน
ผมกับแม่ก็ทำตามที่หมอบอกทุกอย่าง และก็เป็นจริงอย่างที่อาจารย์บอก การซื้อบ้านใหม่ครั้งนี้ ทุกอย่างราบรื่นจนซื้อบ้านสำเร็จ และก็ค่อยๆขนของหนีผีออกมาทีละชิ้นๆ เราใช้เวลาย้ายของ 1 เดือนเต็ม กลัวมันตามมาหัวหด 555
มันตลกมากที่ทุกคนในบ้านคุยเรื่องบ้านใหม่ไม่ได้ จะคุยต้องขับรถออกไปคุยข้างนอก 555 และแล้วเราก็หลุดพ้นจากบ้านหลังนั้นมาได้ หลังจากอยู่บ้านใหม่เราทำอะไรก็ดีไปหมด ที่แย่ๆก็กลับมาดีการเงินก็ดีขึ้น และครอบครัวผมก็ได้เริ่มชีวิตใหม่อีกครับ
จริงๆมีหลายเหตุการณ์ครับแต่ผมลืมมั่ง นึกไม่ออกมั่ง มีอีกเยอะเพราะผมอยู่มา 10 กว่าปี เล่าวันเดียวไม่หมดอ่ะครับ เหนื่อยแล้วด้วย เลยรวบบทสรุปเลยละกัน อ๋อและที่เล่ามาเนี่ย แค่เหตุการณ์ที่ผมเจอในบ้านผีนี้แค่นั้นนะครับ บอกเลยว่า บ้านผีนี้เป็นบ้านผีสิงหลังที่ 2 ที่ผมอยู่
หลังแรกตอนนั้น ผมอายุแค่ 1 ขวบเองมั้งครับ หลังแรกเป็นบ้านผีสิงชื่อดัง… ที่ทุกคนน่าจะรู้จัก แต่ตอนนั้นพ่อกับแม่ผมไม่รู้จักครับ 555 ซื้อเพราะถูกอยู่ได้ 3 เดือน ขายครับ!! ไว้ว่างๆจะมาเล่า
และก็มีเหตุการณ์ผีๆอีกเยอะครับ ที่ผมเจอข้างนอก รู้แล้วใช่ไหมครับว่าทำไมผมไม่กลัว? ผมเจอจนชินแล้ว จริงๆ
รออ่านอีกตอนต่อไปนะครับ

"Evil eye" ลูกปัดนัยน์ตาปีศาจ

        ลูกปัดนัยน์ตาปีศาจ (Evil eye) เครื่องรางปัดเป่าสิ่งร้าย
      
      เครื่องรางของคนตุรกีมีความเป็นมา 5,000 กว่าปี ซึ่งนิยมใช้กันมากแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ปัจจุบันยังพบมากในประเทศ อิตาลี กรีซ ฝรั่งเศส และหลายประเทศในยุโรป เชื่อกันว่าเป็นเครื่องรางที่มีคุณสมบัติในการป้องกันอำนาจมืดจากสิ่งชั่วร้ายนานาประการ ป้องกันจากนัยน์ตาปีศาจที่มุ่งร้ายคอยจับจ้อง ป้องกันจากผู้ไม่ประสงค์ดีของผู้ที่มีไว้ครอบครอง
Evil eye มักจะทำมาจากกระจก แก้ว หรือลูกปัด ประกอบด้วยวงสีน้ำเงินเข้ม สีฟ้า สีขาว โดยซ้อนกันเป็นวง มีรูปร่างหน้าตาคล้ายรูปดวงตา ดวงตาปีศาจนี้มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก เช่น ดวงตาสีฟ้าแห่งตุรกี หรือดวงตาสวรรค์ หรือ นาซาร์ บองกุกู (Nazar Boncugu) ในภาษาตุรกี ที่มีความหมายถึง ดวงตาของเทพเจ้าฮอรัส เป็นเทพเจ้าของอียิปต์ที่สำคัญมากองค์หนึ่ง ชาวอียิปต์นับถือดวงตาของเทพเจ้าฮอรัส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครอง รวมไปถึงยังเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรอบรู้ สุขภาพดี ที่จะช่วยขจัดปัดเป่าความชั่วร้ายและความยากจนในโลกมนุษย์ให้หมดสิ้นไป ดวงตาปีศาจก็เช่นกันจะป้องกันความชั่วร้ายและความอิจฉาริษยาต่างๆ จากภายนอกมาสู่คุณได้
และในอดีตที่ผ่านมา เครื่องรางชนิดนี้จะมีสีน้ำเงินเข้มและมีลักษณะคล้ายดวงตามนุษย์ แต่ในปัจจุบันมีสีต่างๆ เกิดขึ้น เช่น แดง เหลือง เขียว และม่วง เป็นต้น รวมทั้งมีการพัฒนารูปแบบแตกต่างกัน โดยอาจนำมาประดับร่วมกับเงิน ทอง และคริสตัล และยังพัฒนาดัดแปลงรูปแบบ Evil eye ให้เป็นสินค้าแฟชั่นของสาวๆ ไม่ว่าจะเป็นจี้ สร้อยข้อมือ กำไล เสื้อผ้า ผ้าพันคอ เป็นต้น

เรื่อง : สัญญาที่โรงพยาบาล


     เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับเรา อยากจะเล่าพร้อมมีคำถามบางคำถามที่ยังคาใจ และหาคำตอบไม่ได้ค่ะ
เมื่อ 5 ปีก่อน สมัยที่เราขึ้นกรุงเทพมาเรียนมหาวิทยาลัย เราสุขภาพอ่อนแอมาก ป่วยแล้วป่วยอีก แอดมิดเข้าโรงพยาบาลต้นเดือนท้ายเดือน การเรียนก็ตก ร่างกายเหมือนรถที่เก่าๆ เดี๋ยวพังตรงนั้นที เดี๋ยวพังตรงนี้ที
เราไม่มีความรู้เรื่องโรงพยาบาลในกรุงเทพเลย จะไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ ก็คิวยาว เลยตัดสินใจไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในแหล่งธุรกิจ เราแอดมิดที่โรงพยาบาลแห่งนี้อยู่ 2-3 ครั้ง จนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่เจอเหตุการณ์บางอย่าง จนทำให้เราไม่เคยไปรักษาที่โรงพยาบาลนี้อีกเลย
ออกตัวก่อนว่าเราเป็นคนจิตแข็ง ไม่ค่อยกลัวผี ไม่ได้มีสัมผัสอะไร ไม่เคยเห็นสิ่งลี้ลับใดๆ แบบจะๆ ไม่ใช่คนชอบทำบุญกับวัด แต่นานๆ ทีจะได้ยินเสียงแปลกๆ บ้าง แต่คนที่กลัวจับใจคือรูมเมทของเรา แล้วเวลาที่ป่วย คนที่ไปนอนเฝ้าที่โรงพยาบาลก็คือรูมเมทนี่แหละ
ครั้งนั้นเราทอนซิลอักเสบ ตัดสินใจไปโรงพยาบาลช่วงบ่ายๆ หมอให้แอดมิดเลยเพราะว่าไข้ขึ้น 40 องศา กลับหอไปก็ไม่มีใครดูแล ได้แต่นอนแบ็บอยู่บนเตียงเฉยๆ รูมเมทมาส่งเราแล้วกลับไปเรียนตอนเย็นต่อ ปล่อยให้เรานอนพักอยู่ในห้องคนเดียว เราเหมือนกับสะลึมสะลือแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่เห็นปลายเตียงมีผู้หญิงผมยาวประบ่าคนหนึ่งในชุดคนไข้ยืนอยู่ เธอตัวค่อนข้างเล็ก น่าจะสูงไม่เกิน 155 ซม. รูปร่างผอมแห้งเหมือนคนป่วยทั่วไป ผิวขาวซีดออกเหลือง เธอมองมาที่เรา หน้าไม่บึ้ง ไม่ยิ้ม
“เตียงนี้เป็นเตียงของฉัน แต่รู้ว่าเธอป่วย ไม่ได้จะมาทวงเตียงหรอก” เธอพูดเรียบๆ อาจเป็นเพราะประโยคนี้ฟังดูแปลกๆ เราจึงจำได้ดีขึ้นใจ เธอเห็นเราเงียบไปจึงพูดต่อว่า “ขออะไรสักอย่างได้ไหม ขอตาหน่อย”
“ไม่ได้” ถึงจะสะลึมสะลือแต่เราตอบกลับเธอแทบจะในทันที ใจตอนนั้นคิดแต่ว่าเรายกตาให้ใครไม่ได้ ถ้ายกให้แล้วจะเอาอะไรใช้ล่ะ “ต้องใช้ตาตอนนี้ ให้ไม่ได้จริงๆ อย่างอื่นได้ไหม” ขนาดป่วยและไม่มีสติดีเท่าไร เราก็ยังจะต่อรองก็เธอจนได้
เธอเหมือนลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขอเป็นเลือด”
เราตอบตกลงไปอย่างไม่ได้คิดอะไร ตั้งใจไว้ว่าถ้าหายดีเมื่อไรจะไปบริจาคเลือดให้กับเธอ เพราะสมัยเรียนม.ปลาย เราก็ไปบริจาคเลือดอยู่บ่อยๆ
เธอหายไป พร้อมกับความฝันแปลกๆ ในคืนนั้นของเรา เราฝันว่าเราเป็นคนป่วยธาลัสซีเมียที่ต้องได้รับการถ่ายเลือด แต่หาเลือดได้ยากลำบากมาก ร่างกายก็ทรุดโทรมไปเรื่อยๆ จนเสียชีวิตในที่สุด
เราตื่นมาก็ไม่กล้าเล่าสิ่งที่เจอกับสิ่งที่ฝันให้รูมเมทที่มาเฝ้าไข้ฟัง เพราะกลัวว่าเธอจะงอแง กลัวผี แล้วหนีกลับไปไม่ยอมอยู่ต่อ แต่สุดท้ายก็มีเรื่องแปลกๆ ที่ทำให้เราต้องเล่าอยู่ดี
คืนก่อนวันที่เราจะออกจากโรงพยาบาล ช่วงเวลาประมาณตี 3 – ตี 4 เรางัวเงียตื่นขึ้นมาแล้วเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างเตียง รูมเมทเรานอนอยู่ตรงโซฟาข้างๆ
ผู้ชายคนหนึ่งผมสกินเฮด เหมือนกับศรีษะล้าน ใส่แว่นกรอบทรงกลม ใส่เสื้อเหมือนเสื้อบุรุษพยาบาลหรือไม่ก็เทคนิคการแพทย์ เขามาเจาะเลือดเราไปสองเข็มใหญ่ๆ เราที่กำลังง่วงก็ไม่รู้ว่าอะไรยังไง พอหลับไปตื่นมาอีกที ที่แขนก็มีรอยเข็มฉีดยา แต่ไม่มีพลาสเตอร์แปะห้ามเลือดเหมือนเวลาที่เจาะเลือดตามปรกติ เรางงๆ มึนๆ ว่าตกลงแล้วยังไงกันแน่
เราถามพยาบาลที่เข้ามาวัดไข้ตอนเช้าว่ามีใครเข้ามาเจาะเลือดหรือ พยาบาลบอกว่าไม่มีอะไร คุณหมอไม่ได้สั่งเจาะเลือด เช็คเลือดอะไร พอเราถามถึงบุรุษพยาบาลตามที่เราเห็น เขาก็บอกแต่ว่าไม่มีคนลักษณะแบบนั้น ไม่เห็นคนลักษณะแบบนั้นเลยด้วย
พอเราเล่าเรื่องนี้ให้รูมเมทฟัง ตอนแรกไม่ได้เล่าเรื่องที่มีผู้หญิงมาขอเลือด รูมเมทเราตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่พอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น…รูมเมทบอกว่าน่ากลัว แต่ก็ลืมเรื่องนี้ไป
จนวันนี้ที่มีเพื่อนพูดชื่อโรงพยาบาลนี้ขึ้นมา เราก็นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ และเล่าให้เพื่อนคนนั้นฟังอีกครั้ง คราวนี้รูมเมทฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เธอย้อนถามเราว่า
"แน่ใจเหรอว่าคนที่มาเจาะเอาเลือดเธอไปนั้นเป็นคน"
เราไม่รู้คำตอบนั้นเลยจริงๆ แต่ที่แน่ๆ ในวงนั้นทุกคนขนลุกอย่างประหลาด เมื่อเราบอกว่ามีคนมาเจาะเอาเลือดเราไปสองหลอดใหญ่ๆ
ส่วนเรื่องคำสัญญา ตลอด 5 ปีมานี้ เราไม่เคยมีโอกาสทำให้เธอสักครั้ง เพราะไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดกี่ครั้งก็เลือดลอย นอนไม่พอ โปรตีนไม่พอ บริจาคไม่ได้
ไม่รู้ว่าเลือดที่เจาะไปนั้นนับไหมว่าให้เลือดเธอไปแล้ว ไม่รู้ว่าเธอจะเข้าใจไหมว่าเราบริจาคเลือดให้เธอตามสัญญาไม่ได้
แต่ที่น่าแปลกใจคือ เธอไม่เคยทวงสัญญาสักครั้ง
และตอนนี้ เราก็ไม่ได้ไปเหยียบโรงพยาบาลนั้นอีกเลย

ชีวิตในวังหลวงของ**พระราชชายาเจ้าดารารัศมี**

      เรื่องเล่าชีวิตในวังหลวงของ**พระราชชายาเจ้าดารารัศมี**
     ชีวิตทุกชีวิตย่อมหลีกหนีความยุ่งยากไม่พ้น แต่ "แดดดีมีมาภายหลังฝน" ฉันใด พระราชชายาเจ้าก็ทรงประสบมรสุมทำนองเดียวกันที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระสนมกำนัลภายในวังพากันอิจฉาตาร้อน คิดเสียว่าพระราชชายาเจ้าดารารัศมีทรงมีพื้นอยู่ทางภาคเหนือและคนทางเหนือในสมัยนั้น ได้รับการคบค้าสมาคมและต้อนรับจากภาคกลาง
อย่างต่ำต้อยด้อยหน้าเมื่อพูดถึง *"ลาว" *แล้ว เจ้าจอมหม่อมห้ามคงเข้าใจว่า สมเด็จพระปิยมหาราชก็คงจะทางเห็นด้วยกับการกระทำกลั่นแกล้งหยามเหยียดต่างๆ ที่พวกเธอทั้งหลาย
*มีต่อพระราชชายาหรือ "อึ่ง" ของพระองค์ ซึ่งวิธีการเล่นสกปรกต่างๆ ก็ทำให้พระราชชายาทรงรู้สึกกลัดกลุ้มรุ่มร้อนพระทัยเป็นยิ่งนัก*
ตามคำบอกเล่าของท่านผู้ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า แม้แต่ในขันทองสรงน้ำของพระองค์ก็มีกระดาษเขียนตัวอักษรเลขยันต์คล้ายคาถาอะไร วางอยู่ และน้ำในห้องสรงของพระองค์ก็ถูกโรยด้วยหมามุ่ย อยู่ดีๆ บางทีก็มีถุงเงินพระราชทานของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง มาวางอยู่ตามทวารห้องบรรทมเพื่อหาเรื่องให้พระราชชายาว่าขโมยมา อย่าว่าแต่อะไรเลยภายในสวนสวรรค์ข้างๆ พระตำหนัก ยังมีสิ่งปฏิกูลของมนุษย์ทิ้งเรี่ยราดอยู่ ทั้งๆ ที่เจ้านายหญิงฝ่ายเหนือที่ติดตามรับใช้
พระราชชายาจะคอยระแวดระวังพระองค์ท่านทุกฝีก้าวปกป้องผองภัยให้ตลอดเวลา จู่ๆ ก็มีตัวบุ้งตัวหนอนไต่ยั้วเยี้ยตามพระแท่นบรรทมเล็กหน้าห้องสร้างความรำคาญพระทัยมิให้ให้พระองค์ทรงสุขเกษมได้เลย
บางทีพระองค์ทรงได้ยินเสียงตะโกนลั่นผ่าหน้าห้องบรรทมว่า " เหม็นปลาร้า" บ่อยครั้งที่พระกระยาหารบรรจุวางบนถาดเงินก็ถูกกีดกันมิให้ผ่านเข้าออกทวาร ยิ่งกว่านั้นเครื่องเพชรอันหาค่ามิได้
ของในหลวงก็มาปรากฏวางทิ้งอยู่ในพระตำหนักของพระราชชายาผู้ทีปรนบัติรับใช้พระองค์ก็พลอยถูกจงเกลียดจงชัง มีคนเอาปลาทูใส่กะลามะพร้าวไปวางไว้บนสำรับกับข้าว
พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทรงมีขันติอดทนอย่างน่าชมเชย พระองค์ท่านมิได้ทรงแพร่งพราเรื่องราวอะไรต่างๆ นานาให้สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงทราบเลย นอกจากบุคคลที่ใกล้ชิดยุคลบาทเพียงไม่กี่คน อาทิ คุณประภาส สุขุม ธิดาของเจ้าพระยายมราช เป็นต้น ข้ารับใช้จากฝ่ายเหนือก็มีแม่เขียว - เจ้าบึ้งหรือเจ้าหญิงบัวระวรรณ ณ เชียงใหม่ ผู้เป็นคู่ทุกข์คู่ยากของพระองค์แท้จริง
หลายครั้งที่พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทรงเหนื่อยหน่ายต่อชีวิตอันไม่เที่ยงแท้แน่นอนพระองค์ท่านมิได้ทรงคาดคิดมาก่อนว่า ขนาดพระองคท่านเป็นถึงพระธิดาของเจ้าผู้ครองนครที่ใหญ่ที่สุดของภาคเหนือ เป็นพระธิดาองค์เดียวที่เจ้าพ่อโปรดปรานที่สุด จะเรียกร้องต้องการสิ่งใดเป็นได้สมพระประสงค์ทุกสิ่งอัน ทรงจับจ่ายใช้สอยเงินทองได้อย่างเต็มที่ และทรงมีข้าราชบริพารรับใช้ปราศจากอนาทรร้อนใจเหตุไฉนพระองค์จึงต้องทรงตกระกำลำบากเมื่อมาประทับในพระราชวังหลวง ซึ่งควร
จะอบอุ่นหฤหรรษ์ ด้วยความรักยิ่งยวดที่สมเด็จพระปิยมหาราช ราชสวามีทรงมีต่อพระองค์
พระราชชายาบ่นกับผู้ใกล้ชิดว่าพระองค์ใคร่จะเสวยลำโพง (มะเขือบ้า) เป็นคนวิกลจริต แล้วทางกรุงเทพฯจะได้ส่งกลับนครเชียงใหม่บ้านเกิดให้รู้แล้วรู้รอด จะได้พ้นจากความลำบากยากแค้นเสียที และผู้ใกล้ชิดของพระองค์ได้ทัดทานไว้ว่าขอให้อดใจรอจนกว่าเหตุร้ายจะกลายเป็นดีในวันหนึ่'ว่ากันว่าเจ้าจอมแส (ข้าหลวงของพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์หรือพระนางเรือล่ม) ที่โดยลำดับเครือญาติเป็นน้องหม่อมของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เคยยั่วเย้าพระราชชายาเจ้าดารารัศมีว่าหน้าอกไม่สวย ซึ่งพระองค์ท่านก็มิได้ทรงตอบโต้ว่ากล่าวประการใด
อย่างไรก็ดี ความก็ล่วงรู้ถึงพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจนได้พระองค์ทรงเล็งเห็นความร้าวฉานภายในพระราชฐานว่าเรื่องนี้มิใช่เป็นเรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว ถ้าทรงขืนปล่อยไว้จะลุกลามไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองภายในประเทศและอาจถึงระหว่างประเทศก็ได้ อันเป็นการขัดแย้งกับนโยบายที่พระองค์ทรงหวังตั้งพระทัยจะรวบรวมหัวเมืองเหนือมารวมกับส่วนอื่นๆ ให้เป็นประเทศไทยอันหนึ่งอันเดียวกันจะแบ่งแยกเสียมิได้ และขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงเล็งเห็นการณ์ไกลว่าถ้าหากมิ
เช่นนั้นแล้ว แผ่นดินลานนาไทยทั้งภาคก็มีหวังถูกอังกฤษฮุปเอาเพราะประเทศอังกฤษในเวลานั้น ได้กลืนเอาภาคเหนือของประเทศพม่าเข้าไว้โดยเรียบร้อยยกให้เป็มณฑลหนึ่งของอินเดีย นักการเมืองของอังกฤษผู้แสวงประโยชน์จากความเป็นทาส
ของชาวเอเชียกำลังจ้องมองดูหัวเมืองฝ่ายเหนือด้วยความพิสมัยใคร่ตะครุบเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้เองสมเด็จพระปิยมหาราชจึงทรงว่ากล่าวตักเตือนบรรดเจ้าจอม หม่อมห้ามพระสนมกำนัลให้ยุติการกลั่นแกล้งทำพิเรนต่างๆ กระทบกระเทือนพระทัยพระราชชายาโดยเด็ดขาด
แล้วก็โดยไม่นึกไม่ฝันเช่นเดียวกัน ดังภาษิตอังกฤษว่า *" ภายหลังพายุร้ายก็ถึงซึ่งความสงบ" *พระราชชายาเจ้าดารารัศมีก็ผ่านยุคเข็ญทารุณทางจิตใจและไม่มีผู้ใดกล้ากลั่นแกล้งทำให้เสียชื่อเสียงอีกเลย บุคคลที่ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับท่านกลับยิ้มแย้มแจ่มใสผูกสนิทชิดชอบและเป็นญาติดี ทั้งนี้รวมทั้งเจ้า
จอมแสอีกคนหนึ่ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 นับว่าทรงมีพระคุณต่อพระราชชายาอย่างยิ่ง เป็นที่ทราบกันภายหลังว่า พระองค์มิได้ทรงเชื่อหรือสนพระทัยกับการยุยงส่งเสริมจากพระสนมกำนัลเลย พระองค์ท่าทรงทราบดีว่าคุณธรรมของเจ้านายฝ่ายเหนือนั้นสูงส่งเกินกว่าที่จะมาทำเสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียงของราชวงศ์ ลักขโมยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ดุจดังที่พระราชชายาโดนกล่าวหามาแต่แรก
พระราชชายาเจ้าดารารัศมีนั้นทรงมีพระทัยกว้างขวาง พอๆ กับทรงใช้เงินเก่งดังที่สมเด็จพระปิยมหาราชรับสั่งกับพระองค์ว่า " ดาราใช้เงินเป็นเบี้ย " เจ้าหญิงผู้อยู่ใกล้ชิดพระองค์ท่านรับว่าเรื่องนี้เป็นความจริง เพราะนอกจากพระองค์จะได้รับพระราชทานเงินปีร้อยชั่งจากพระราชสวามีอันเป็นที่รักแล้ว พ่อเจ้าอินทวิไชยยานนท์ ยังส่งเงินค่าตอไม้ให้อีกปีละเป็นเรือนหมื่นบาท และยังได้รับพลอบทับทิมที่สั่งจากพม่า โดยพ่อเจ้ามอบให้พญาจันฯ นำไปส่งอีกมากมาย นอกจากเนื้อเงินค่าไม้สักอีกปีละ
หลายหมื่นบาทอีกด้วย
เรื่องเล่าชีวิตในวังหลวงของ**พระราชชายาเจ้าดารารัศมี**
ที่มาจาก FB ในวัง ,เพชรล้านนา คุณปราณี ศศิธร ณ พัทลุง

“นาโนแบต” แบตเตอรี่ชนิดใหม่อายุการใช้งานชั่วชีวิต!

     แบตเตอรี่ชนิดใหม่ “นาโนแบต” มีอายุการใช้งานชั่วชีวิต! (ใช้มือถือได้ติดต่อนาน 400 ปี)
    ความฝันที่จะมีแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานนานตลอดชีวิตใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น เมื่อปีที่ผ่านมา ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์วิน ในเมืองเออร์วิน รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ประสบผลสำเร็จในการออกแบบแบตเตอรี่ชนิดใหม่ ที่สามารถชาร์จใหม่ได้มากถึง 200,000 ครั้ง โดยสูญเสียความจุไปเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น (แบตเตอรี่ทั่วไปชาร์จได้ประมาณ 5,000 – 6,000 ครั้ง ซึ่งอย่างมากสุดชาร์จได้เพียง 7,000 ครั้งเท่านั้น)
ทั้งนี้เว็บไซต์ Good ระบุว่าแบตเตอรี่ชนิดดังกล่าวสามารถให้พลังงานแก่สมาร์ทโฟนหรือแล็ปท็อปทั่วๆ ไปได้เป็นเวลาถึง 400 ปีเลยทีเดียว
เรจินาลด์ เพนเนอร์ หนึ่งในทีมวิจัย เปิดเผยว่า การค้นพบครั้งนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญระหว่างการทดลองเพื่อหาทางผลิตแบตเตอรี่แบบใหม่สำหรับทดแทนแบตเตอรีลิเธียม-ไอออนที่ใช้กันอยู่ โดยทีมวิจัยเชื่อว่าการใช้เส้นลวดนาโน ตามทฤษฎีน่าจะช่วยยืดอายุของแบตเตอรี่ออกไปให้ใช้งานได้นานขึ้น เนื่องจากปริมาณพื้นผิวสำหรับยึดกุมประจุไฟของลวดนาโนมีมากกว่า อย่างไรก็ตามปัญหาที่เจอก็คือตัวลิเธียมจะกัดกร่อนลวดนาโนไปในทันทีที่ผ่านการชาร์จเพียง 2,000-3,000 ครั้งเท่านั้น
ทีมวิจัยแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการสร้างปลอกจากแมงกานีสไดออกไซด์ขึ้นมาหุ้มลวดนาโนที่ทำจากทองคำเหล่านั้นเอาไว้ และเปลี่ยนลิควิดลิเธียมเป็นเจลอิเล็กโตรไลต์ที่มีความหนาแน่นสูงกว่า เพนเนอร์ระบุว่า ด้วยความขี้เล่นของเพื่อนร่วมทีมวิจัยรายหนึ่ง ทดลองเอาเจลอิเล็กโตรไลต์ไปเคลือบวงจรทั้งหมดเล่นแล้วลองชาร์จประจุ-คายประจุวนไปวนมาเล่นๆ
หลังจากที่ทดสอบนานกว่า 3 เดือน ก็พบว่าสามารถชาร์จได้นับแสนๆครั้ง โดยไม่สูญเสียความจุประจุไฟทั้งหมดไป เพนเนอร์ยอมรับว่าทีมยังไม่เข้าใจกลไกที่ทำให้เกิดความทนทานต่อการชาร์จนี้มากมายนัก แต่ได้ผลดีเยี่ยม และไม่เกิดความเสียหายใดๆภายในเลย ซึ่งถือว่า เป็นข่าวดีสำหรับการพัฒนาแบตเตอรี่ในอนาคต
แต่กว่าที่แบตเตอรี่ชนิดนี้จะถูกนำออกมาใช้งานจริง คงจะต้องมีการทดสอบและวิจัยกันอีกนานเลยทีเดียว ทีมวิจัยชี้ว่าการใช้ลวดนาโนที่เป็นทองคำ อาจทำให้แบตเตอรี่ใหม่นี้มีราคาสูงขึ้น จึงเสนอให้ใช้ลวดนาโนที่ทำจากนิกเกิลแทนในกรณีที่มีการผลิตเพื่อการพาณิชย์เป็นจำนวนมากนั่นเอง และหากแบตเตอรี่ชนิดใหม่มีความเสถียรมากขึ้นก็จะทำให้วงการ คอมพิวเตอร์ ,สมาร์ทโฟน ,รถ และ อวกาศ พัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดมากกว่าเดิมที่เป็นอยู่อีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว

"The Kailasa Temple" วิหารสุดมหัศจรรย์!

    มหัศจรรย์!! "The Kailasa Temple" วิหารสุดมหัศจรรย์! ไม่น่าเชื่อ...สร้างจาก "ก้อนหินยักษ์" เพียงก้อนเดียว!...ขลังเหมือนหลุดอยู่ในโลกเวทย์มนต์
"The Kailasa Temple" คือ "วิหาร" ตั้งอยู่ในรัฐมหาราษฏระ (Maharashtra) ประเทศอินเดีย ถูกสร้างมาจากหินยักษ์เพียงก้อนเดียว ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลยก็ว่าได้ ซึ่งเป็นสถานที่ๆ ถูกสร้างขึ้นมาให้เหมือนกับเขาไกรลาส ตามความเชื่อของชาวฮินดู และยังเชื่อว่าวิหารดังกล่าวเป็นที่อยู่ของพระศิวะ
สมัยคริสตศักราชที่ 760 กษัตริย์คริชนะที่ 1 ชาวบ้านอินเดียในท้องถิ่นเล่าลือกันว่า ตอนที่กษัตริย์ทรงป่วยหนัก พระมเหสีได้สวดมนต์ขอพรจากองค์พระศิวะ โดยอธิษฐานว่าจะสร้างวิหารถวายให้พระองค์
ภายหลังที่พระมเหสีได้สวดมนต์ขอพรจากองค์พระศิวะแล้ว อาการของกษัตริย์ก็ดีขึ้นตามลำดับ เมื่อพระองค์รู้เรื่องทั้งหมด ก็มีพระราชโองการสั่งให้เกณฑ์ช่างแกะสลักฝีมือดีมาสร้างวิหารดังกล่าวขึ้น โดยเน้นการสร้างแบบผสมผสานศิลปะของวัฒนธรรมปัลลวะ (Pallava) และศิลปะจากราชวงศ์จาลุกยะ (Chalukya) เข้าด้วยกัน
ภายในวิหารดังกล่าว ล้วนมีการแกะสลักรูปต่างๆ ที่มีความหมายสื่อไปถึงความศรัทธาอย่างแรงกล้าที่มีต่อพระศิวะ