“สัญญา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องคนรถ
ใครจะเชื่อว่าผีดุที่สุดอยู่ในวัดบ้าง โรงพยาบาลบ้าง ถนนหนทางที่เรียกว่าโค้งมรณะ หรือถนน 100 ศพบ้าง สำหรับผมแล้วเชื่อมั่นอย่างฝังจิตฝังใจว่า...ผีที่ดุร้ายที่สุด และน่ากลัวที่สุดก็คือผีที่อยู่ในบ้านของเรานี่เอง!
ไม่ใช่ว่าเป็นความเชื่อลมๆ แล้งๆ หรือเพ้อเจ้อไปเองนะครับ บ้านเกือบทุกหลังไม่ว่าจะอยู่ในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด ล้วนแต่มีศาลพระภูมิทั้งนั้นเลย
นั่นคือเป็นที่สิงสถิตของเจ้าที่เจ้าทาง เชื่อกันว่าจะคุ้มครองผู้คนในอาณาบริเวณนั้นให้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีความอัปมงคลใดๆ มารบกวนแผ้วพานได้เด็ดขาด
อย่างน้อยที่สุด ก็ทำให้หนักเป็นเบาได้ละครับ
ต่อจากนั้นก็คือผีบ้านผีเรือน!
ตรงนี้เองที่มีภูตผีค่อนข้างมากมาย คือมีทั้งผีปู่ย่าตายายและบรรพบุรุษ ถ้าอยู่อาศัยมาเนิ่นนาน กับมีทั้งผีเจ้าที่เจ้าทาง ที่ล้วนแต่ไม่เป็นอันตรายกับผู้คนในบ้าน ซึ่งส่วนมากก็คือลูกๆ หลานๆ นั่นแหละ
คนที่อยู่มานานๆ มักไม่ค่อยหวาดกลัวหรอกครับ ถือว่าเป็นผีบ้านผีเรือนหรือผีเจ้าที่ ไม่มีอะไรน่าขนลุกขนพอง บางทีก็อาจจะเป็นการบอกกล่าวให้รู้จักทำบุญทำทานเสียบ้าง มาหยอกเย้าเล่นเฉยๆ บ้าง ขนาดมาช่วยดูแลบ้านช่องเวลาไม่มีคนอยู่บ้าน ถ้าหัวขโมยผ่านมาเห็นเข้าก็ย่อมจะเลยไปเป็นธรรมดา
อย่าคิดว่าบ้านเรือนที่ไม่มีคนตายจะไม่มีภูตผีปีศาจอะไรเลยนะครับ
บางบ้านก็ประสบกับเรื่องน่ากลัวบ่อยๆ เชื่อกันว่าเป็นสัมภเวสี-ผีพเนจรที่ผ่านเข้ามาด้วยความหิวโหย หรือไม่ก็เพราะความเกะกะเกเรตามนิสัยเดิม...คือเมื่อเป็นมนุษย์เคยเป็นคนเช่นไร เมื่อล้มตายไปแล้วก็ยังไม่ละทิ้งนิสัยสันดานดั้งเดิม
อ้าว? แล้วพระภูมิเจ้าที่ไปอยู่เสียที่ไหน?
เรื่องนี้มีทั้งการละเลยเครื่องเซ่นสังเวยง่ายๆ เช่นข้าว น้ำและจุดธูปบอกกล่าว อาจเกิดจากเจ้าของบ้านมัวแต่วุ่นวายด้วยภารกิจต่างๆ จนละเลยไป พระภูมิเจ้าที่ซึ่งก็คือผีชนิดหนึ่งหิวโหยเครื่องเซ่นจึงละศาลนั้นไปหาที่อยู่ใหม่ๆ
บ้านผมเองก็มีเรื่องแปลกๆ ค่อนข้างน่ากลัวที่ขอนำมาเล่าสู่กันฟัง
แม้ว่าจะอยู่แถวบางซ่อนซึ่งเป็นชานเมืองในอดีต แต่มาถึงสมัยนี้ก็แทบจะไม่แตกต่างกับย่านใจกลางเมืองแล้วละครับ บ้านเรือนและผู้คนคึกคัก...เสียแต่บ้านใครบ้านมันตามความเจริญและนิสัยชาวกรุง...แถมมีรั้วรอบขอบชิดอีกต่างหาก
ต้นไม้ใหญ่น้อยที่ปลูกเอาไว้ร่มครึ้ม ทำให้บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ ค่อนไปทางเปล่าเปลี่ยว โดยเฉพาะยามค่ำคืนก็น่าวังเวงใจพอสมควร
เนื่องจากมีลูกหลานค่อนข้างมาก จึงจำเป็นต้องมีเรือนแถวอยู่หลังบ้านสำหรับคนรับใช้ที่อยู่ประจำ คือคนขับรถ แม่ครัวและแม่บ้านกับเด็กผู้ช่วย...คนหลังนี่เองที่เคยวิ่งหน้าตาตื่นมาบอกว่าเคยเห็นใครกลุ่มใหญ่นั่งล้อมวงอยู่ในครัว...หันขวับมาก็ล้วนแต่ไม่มีหน้าทุกคน
แม่ครัวชื่อน้าชื้นดุเอาว่าแค่นี้ก็ทำเป็นตื่นเต้น แกเองเคยเห็น 2-3 ครั้งแต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพราะรู้ดีว่าเป็นเจ้าที่เจ้าทางมาหยอกล้อเล่น
บ้านผมยังไม่เคยมีคนตายนี่ครับ ถ้าไม่ใช่เจ้าที่แล้วจะเป็นใครล่ะ?
เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อตอนปีกลายคนรถชื่อนายดิดอาบน้ำที่ห้องริมสุดตอนหัวค่ำเรียบร้อยก็นุ่งผ้าขาวม้า มีผ้าเช็ดตัวคล้องคอ เดินผ่านห้องแม่ครัวกับแม่บ้านมาถึงห้องตัวเอง มือหนึ่งเปิดประตู มือหนึ่งเอื้อมไปกดสวิตช์...
พอไฟสว่างจ้าขึ้นนายดิดก็มองเห็นตัวเองนุ่งผ้าขาวม้า นอนตะแคงอยู่บนเตียงเล็กๆ ข้างฝา จ้องมองมาเขม็ง!
นายคิดไม่ใช่คนกินเหล้าเมายา จะได้คิดว่าหูตาลายเพราะฤทธิ์เหล้า แต่เมื่อแกวิ่งกระเจิงแทบผ้าผ่อนหลุดลุ่ย ร้องโว้ยๆ ไปทั้งบ้าน ก็ได้แต่สันนิษฐานว่าตาฝาดไปเอง เพราะเมื่อเราไปดูก็ไม่เห็นอะไรพิลึกแบบนั้น...ครั้นจะว่าเรื่องผีก็ไม่ใช่ เพราะนายดิดยังไม่ตายนี่นา
ตอนปลายปี...เย็นนั้นผมเดินดูต้นกล้วยที่กำลังออกหัวปลีก็มี เป็นเครืองามแล้วก็มี...ผ่านเรือนแถวก็เหลือบเห็นนายดิดก้าวออกจากห้อง ผมเดินมาถึงห้องครัวก็บอกน้าชื้นที่กำลังจะเสร็จงานว่า นายดิดคงจะออกมาหาข้าวกิน...เล่นเอาแม่ครัวอ้าปากค้าง หน้าซีดเผือด ก่อนจะยืนยันว่านายดิดที่ลาไปเยี่ยมบ้านที่นครสวรรค์เมื่อวานยังไม่กลับ
ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง...รีบหันกลับไปดูให้แน่ใจก็เห็นประตูห้องนายดิดใส่กุญแจเอาไว้เรียบร้อย...แต่ผมมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดแน่นอน
วันรุ่งขึ้น นายดิดก็กลับมา ไม่ได้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุอย่างที่นึกหวั่น...ถ้าสิ่งที่ผมเห็นไม่ใช่วิญญาณจะเป็นอะไรละครับ ถ้าไม่ใช่เจตภูตคนเป็น?!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น