ชุมทางปีศาจ

   จากภูตผีที่เคยเป็นผู้คน คราวนี้ก็มาถึงผีต้นไม้
 
    นางตานี
รายนี้ถือว่าเป็นผียอดฮิต เอามาเล่าสู่กันฟังได้ตลอดกาล แถมมีเกร็ดฝอยแตกดอกออกช่อพิลึกพิลั่น พิจิตรพิสดารเหลือหลายอีกต่างหาก
เชื่อกันว่าต้นกล้วยตานีที่ตายพราย คือยืนต้นตายก่อนจะตกลูก มักมีผีสิงอยู่ที่ต้นไม้นั้นชั่วระยะหนึ่งถึงจะไปผุดไปเกิด หรือไปสิงสู่ต้นไม้อื่นๆ อีกก็ไม่ทราบแน่ชัด รวมทั้งที่มาด้วย ทำให้เดาว่าเป็นผีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
นางตานีเป็นสาวสวยผมยาว ผิวขาว หุ่นอวบอัด ตกค่ำก็ชอบออกมาเดินโชว์ ชอบ หรือยืนพิงต้นกล้วย จนกว่าจะพบชายหนุ่ม ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นเจ้าของสวนกล้วยนั้นเอง ฝ่ายชายเห็นเข้าก็ไม่ได้เฉลียวใจว่าเป็นนางตานี นึกว่าเป็นไก่หลงหรือสาวใจเปลี่ยว
ฝ่ายนางตานีมักมีอุปนิสัยรักง่ายใจเร็ว ได้พูดจากันเล่นหูเล่นตากันไม่ช้าไม่นานก็ชักชวนกันเล่นอย่างอื่น เป็นที่เกษมสำราญด้วยกันทั้งสองฝ่าย คืนต่อๆ มานางตานีจะเข้าไปเยือนฝ่ายชายถึงในห้องในหับ โอ้โลมปฏิโลมกันจนถึงใกล้รุ่งก็หายตัวไป
การณ์เป็นแบบนี้ทุกคืนจนฝ่ายชายสิ้นแรง ร่างกายทรุดโทรมเต็มที ก็พอดีนางตานีหมดเวรหรือวาระที่จะดำรงสภาพเดิมได้ต่อไป เกิดการล่ำลาอาลัยแทบไม่อยากจากกัน
ที่ว่าวิจิตรพิสดารก็คือ นางตานีมักทิ้งสไบดำไว้ให้ชายคนรักดูต่างหน้า...จนกว่าจะไม่ได้พบกันใหม่! ว่าไปโน่นเลย
 
    นางตะเคียน
รายนี้น่าสะพรึงกลัวกว่านางตานีเป็นไหนๆ เพราะมักอยู่ในป่าหรือในวัดที่ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว แถมไม่มีนิสัยขี้เล่นเหมือนนางตานีอีกด้วย ชอบแผดร้องโหยหวนให้ผู้คนขวัญหนีดีฝ่อเป็นประจำ วันดีคืนดีก็เอาตีนเกี่ยวกิ่งไม้แล้วห้อยหัวลงระพื้น ใครเห็นเข้าไม่สติแตกร้องจ้าหาแม่ก็นับว่าประสาทแข็งเหลือทน
เรื่องราวที่เล่าสู่กันฟัง มักจะหนีไม่พ้นเรื่องชาวบ้านไปตัดต้นตะเคียนในสมัยก่อน แล้วได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดบาดลึกเข้าไปถึงหัวใจ ลมพายุพัดอู้ๆ จนต้นไม้น้อยใหญ่แทบจะถอนรากถอนโคนไปตามๆ กัน
...เป็นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดระคนโกรธแค้นของผู้หญิงที่ถูกทำร้ายชัดๆ แถมรอยที่ถูกเลื่อยก็ยังมียางไม้ไหลรินไม่ขาดสาย แต่เป็นยางสีแดงเหมือนสีเลือดไม่มีผิด
คนที่ตัดต้นตะเคียนชักดิ้นชักงอตายคาที่บ้าง หัวหน้าคนงานที่สั่งให้ตัดต้นตะเคียนหัวใจวายบ้าง บางรายก็ต้องเลิกราไปเองบ้าง บางรายก็ต้องไปหาหมอผีขมังเวทมาร่ายคาถาอาคมจนนางตะเคียนยอมแพ้ เร่ร่อนไปหาที่อยู่อาศัยเอาใหม่บ้าง
ที่จัดว่าเฮี้ยนสุดๆ ก็คือ ขนาดถูกชักลากเข้าโรงเลื่อย กลายเป็นไม้เสาไม้แผ่นเอามาสร้างบ้านเรือนแล้ว ก็ยังปรากฏร่างผู้หญิงวอบๆ แวบๆ ในยามค่ำคืนให้ผู้คนขวัญหนีดีฝ่อเล่น หนักกว่านั้นก็คือมีน้ำมันไหลเยิ้มออกจากเสา ที่คนสมัยก่อนเชื่อถือว่ามีผีสิงเรียกขานกันว่า "เสาตกน้ำมัน"
บ้านทรงไทยของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในซอยสวนพลูซึ่งรื้อมาจากต่างจังหวัดแล้วสร้างใหม่มีอาการเสาตกน้ำมัน ท่านเจ้าของบ้านก็เอามาเขียนในสยามรัฐ เล่าว่ามีสามล้อมารอเก็บเงินค่าโดยสารที่ป้าแก่ๆ นั่งมาลงที่บ้านนี้ตอนค่ำคืนแล้วหายจ้อยไป
ท่านอาจารย์ก็ต้องจ่ายค่าสามล้อไป แต่บ่อยครั้งเข้าท่านก็ไปดุเสาตกน้ำมันอันเป็นที่อาศัยของคุณป้าจอมซนชอบหนีเที่ยว ว่าทีหน้าทีหลังอย่าได้ริอ่านตะลอนๆ ไปที่ไหนอีกเล่า มิฉะนั้นเป็นได้เห็นดีกัน
เมื่อโดนท่านเจ้าของบ้านซึ่งได้ชื่อว่า "ครูโขน" เล่นโขนบททศกัณฐ์เข้าใส่ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งเครื่อง คุณป้าก็คงตระหนกอกสั่น เกิดความพรั่นพรึงว่าจะโดนลงโทษทัณฑ์เลิกออกไปเที่ยวเตร่กลางค่ำกลางคืนแต่นั้นมา!

     ผีต้นโพธิ์
ขึ้นชื่อว่าต้นไม้ใหญ่ๆ อายุเก่าแก่เกือบร้อยปีมักจะเชื่อถือกันว่ามีภูตผีสิงสู่อยู่ทุกต้น โดยเฉพาะต้นโพธิ์นี่มักขึ้นทั่วๆ ไป โดยเฉพาะในวัด เชื่อกันว่าเป็นผีผู้ชายที่อุปนิสัยดุร้ายสาหัส ผู้คนเดินผ่านแม้แต่กลางวันแสกๆ ก็เหลือบมองอย่างเกรงๆ ยิ่งเป็นตอนกลางคืนแล้วมักจ้ำอ้าวไม่เหลียวหลัง ถ้าเกิดมีเสียงซู่ซ่าเกรียวกราวทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัด มีหวังวิ่งหนีแทบตับทรุดไปตามๆ กัน
แต่พวกนักเลงตั้งแต่สมัยก่อนเล่นหวย ก. ข. จนถึงหวยใต้ดินหรือกินรวบในปัจจุบัน ถ้าเชื่อถือว่าเจ้าแม่ตะเคียนหรือเจ้าพ่อโพธิ์ต้นไหนให้หวยแม่นเหมือนตาเห็น ก็มักจะโยนความกลัวผีทิ้งไป กลายเป็นคนกล้าหาญชาญชัยได้แทบไม่น่าเชื่อ
นั่นคือ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนจะบุกบั่นเข้าไปขอหวยด้วยการใช้มีดบางถากเปลือก แล้วใช้นิ้วมือจุ่มน้ำขัดถูจนอุปาทานทำให้เห็นตัวอักษรหรือตัวเลข ถือเป็นทีเด็ดที่จะนำไปแทงหวย แทงผิดก็แล้วไป แต่ถ้าเกิดถูกขึ้นมาก็จะนำผ้าเหลืองผ้าแดงมาผูกต้นไม้บ้าง นำตุ๊กตาดินเผาต่างๆ มาวางเป็นการแก้บนบ้าง

   ผีปอบ
เดี๋ยวนี้ผีปอบกลายเป็นผียอดฮิตประจำภาคอีสาน ตกเป็นข่าวทางหนังสือพิมพ์และทีวีบ่อยๆ โดยถูกชาวบ้านรวมหัวกันขับไล่ด้วยวิธีต่างๆ บางหมู่บ้านมีผีปอบ 2-3 ตัว แต่บางหมู่บ้านก็มีถึงสิบกว่าตัว ส่วนมากมักจะเป็นหญิงกลางคนถึงวัยชรา
บางครั้งก็มีข่าวว่ามิจฉาชีพกุข่าวเพื่อจะได้ทำพิธีขับไล่ผีปอบที่สิงอยู่ในคนนั้นๆ ด้วยการรดน้ำมนต์ หรือเฆี่ยนตีอย่างรุนแรงจนถึงกับปางตาย โดยเรียกค่าตอบแทนพันสองพันบาทขึ้นไป บางครั้งก็มารับจ้างเป็นคนทรง ถือไม้ไล่หาผีปอบไปตามหมู่บ้าน เมื่อได้เงินทองเป็นที่พอใจแล้วก็ออกไปหากิน หรือต้มตุ๋นตามหมู่บ้านอื่นๆ ต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด
ที่เชื่อว่าเป็นปอบก็เพราะการไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนบ้าน หรือผู้คนบ้านใกล้ๆ กันล้มป่วยจนถึงล้มตายติดๆ กันบ้าง ยิ่งหมู่บ้านไหนมีคนล้มตายหลายคนด้วยโรคภัยต่างๆ ก็มักจะซัดไปที่ปอบ ซึ่งดูแล้วก็เป็นคนดีๆ เหมือนคนทั่วไป แต่ก็ถูกหาว่าเป็นปอบโดยไม่มีเหตุผล หรือมีก็เบาบางจนเกินกว่าจะรับได้
โบราณบอกว่า ปอบจะเข้าสิงคนที่ร่ำเรียนทางไสยศาสตร์ของเขมรที่กระทำอันตรายต่อผู้อื่น เรียกว่า "ไสยดำ" แต่มีข้อห้ามคือ "ขะลำ" มิให้เป็นชู้กับภรรยาท่าน หรือลักขโมย ผู้ใดฝ่าฝืนก็จะถูกปอบสิง กลายเป็นปอบไปจนกว่าจะสิ้นเวร!
"ปอบผีฟ้า" มีมากในภาคอีสานตอนล่าง จนกลายเป็นประเพณีเซ่นสังเวย "ผีฟ้า" หรือ "ผีแถน" "แถนหลวง" ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเจ้าใหญ่นายโตแห่งภูตผีทั้งหลาย
ถ้าผีปอบคือผู้ที่คอยเข้าสิงผู้อื่น กินตับไตไส้พุงจนกว่าจะตาย ก่อนจะไปสิงสู่ผู้อื่นต่อไป ผู้คนที่เรารู้จักอีกมากมายก็เห็นจะมีลักษณะนิสัยไม่แตกต่างกว่าปอบเท่าไรนัก แต่กลับได้รับความเคารพนับถือ กราบไหว้ยำเกรงในอำนาจวาสนา แถมเต็มอกเต็มใจให้สูบเลือดสูบเนื้อแทบจะแห้งตายอีกต่างหาก!
  
    ผีโขมด
เป็นผีที่สิงสู่อยู่ตามป่าดงพงพีทั้งหลาย บางทีแยกประเภทว่าเป็น "โขมดป่า" กับ "โขมดดง" แต่มีความหมายคล้ายคลึงกัน ตรงที่ล้มตายในป่าด้วยสาเหตุต่างๆ เช่นเป็นไข้ป่า โดนงูกัด เสือขบ หรือช้างเหยียบตาย พลาดพลั้งหลงทางจนอดตายบ้าง ตกเขาตกเหวตายบ้าง
สมัยก่อน คนพวกนี้มักจะเป็นพรานเที่ยวล่าสัตว์ หรือไม่ก็หาของป่า เช่น น้ำมันยาง สมุนไพร รังผึ้ง แม้แต่เข้าไปหาขี้ค้างคาวในถ้ำ แต่ชะตาขาดต้องสิ้นชีวิตด้วยสาเหตุดังกล่าว โดยที่พ่อแม่หรือลูกเมียทางบ้านไม่ได้ข่าวคราว หรือแม้แต่ไม่พบศพก็มี
เชื่อกันว่าผีโขมดพวกนี้จะดุร้ายนักหนา เที่ยวหลอกหลอนคนเดินป่าจนต้องวิ่งกันป่าราบมานับไม่ถ้วนแล้ว แต่ผู้รู้บอกว่าที่ปรากฏตัวก็เพื่อจะขอส่วนบุญเท่านั้นเอง

    ผีพราย
คือผีที่ผู้มีคาถาอาคมเลี้ยงไว้ใช้สอย เช่นในเรื่อง "ขุนช้างขุนแผน" ก็มีผีพรายที่ขุนแผนเลี้ยงไว้ใช้ ทั้งช่วยดูแลบ้านช่อง คุ้มครองลูกเมียยามที่ตนต้องพลัดบ้านพลัดเมือง ไม่ว่าเข้าป่าเข้าดงหรือติดคุกก็ตาม แล้วยังสั่งสอนวิชาเลี้ยงผีพรายให้แก่ลูกหลานสืบต่อกันมา เช่น พลายชุมพล เป็นต้น
โดยทั่วไปแล้ว ผีพรายแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ "พรายน้ำ" กับ "พรายทะเล"
"พรายน้ำ" คือผีตกน้ำตายในแม่น้ำลำคลอง หรือตายในน้ำจืด ส่วน "พรายทะเล" ก็คือผีที่ตกน้ำตายในทะเล เช่น เกิดเรือล่ม หรือโดนโจรสลัดฆ่าทิ้งเพื่อชิงทรัพย์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เมื่อญวนแตก ผู้คนในละแวกนั้นอพยพหลบหนีภัยแดงไปตายเอาดาบหน้า หรือผืนแผ่นดินใหม่ แต่ก็ต้องมาล้มตายในทะเลด้วยสาเหตุต่างๆ ดังกล่าว
   
    ผีกระหัง, ผีก็องกอย, ผีโพง ฯลฯ
พวกนี้ถือว่าเป็นผีเบ็ดเตล็ด ไม่สู้สลักสำคัญนัก เช่นผีโพงมักปรากฏกายในป่า รูปร่างคล้ายคบไฟล่องลอยมา พอใกล้จะถึงผู้คนก็หายวับไป! หลอกแก้เหงา...ว่างั้น!
นอกจากภูตผีที่มาจากคนแล้ว ยังมีผีที่มาจากสัตว์และต้นไม้ใหญ่น้อยอีกมากมาย ขอนำมาเล่าสู่กันฟังคร่าวๆ เพื่อเป็นการยืนยันว่าผีไทยมีอื้อซ่าแทบไม่น่าเชื่อ ถ้าคนไทยไม่ใจแข็งจริงๆ มีหวังถูกผีหลอกตายไปครึ่งค่อนประเทศแล้ว
 
     
     ผีตายทั้งกลม
ผู้หญิงคลอดลูกตาย หรือแม้แต่ล้มตายขณะที่ยังตั้งครรภ์ เพราะสาเหตุใดก็ตามเรียกขานกันว่า "ตายทั้งกลม" ทั้งนั้น แถมเชื่อกันว่าเป็นภูตผีที่ดุร้ายสุดๆ น่าหวาดหวั่นพรั่นสยองจนไม่อยากพุดถึงเสียด้วยซ้ำไป
"แม่นาคพระโขนง" เป็นตัวอย่างชั้นยอด แถมยังโด่งดังสุดขีดมาร้อยกว่าปีแล้ว ถึงแม้จะมีตายทั้งกลมอีกหลายพันหลายหมื่นทั่วประเทศตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่มีใครจะมีชื่อเสียงโด่งดังเท่าละอองร่วงๆ ของแม่นาคพระโขนงที่ชาวบ้านส่วนใหญ่เคารพนับถือ เรียกขานกันอย่างยกย่องว่า "ย่านาค"
โอกาสหน้าจะได้เล่าเรื่องราวและตำนานของคุณย่านาคสู่กันฟัง รวมทั้งการสร้างหนังสร้างละครหลายครั้งหลายหน ตั้งแต่สมัยก่อนสงครามมาจนถึงทุกวันนี้


     ผีกระสือ
ใครเป็นแฟนหนังไทยคงจะจำได้ว่ามีหนังเรื่อง "กระสือสาว" โกยเงินเป็นบ้าเป็นหลังเมื่อราว 40 ปีก่อน คุณพิศมัย วิไลศักดิ์ เป็นนางเอก ทำใบปิดกับโปสเตอร์เป็นรูปใบหน้าสวยๆ ของนางเอก แต่ต่ำลงมาไม่มีรูปร่างอวบอัดหรืออรชรอ้อนแอ้นแต่ประการใด นอกจากตับไตไส้พุงห้อยร่องแร่ง น่าขนลุกขนพองเหลือกำลัง
หลายๆ คนเห็นภาพนั้นติดหูติดตา ก้ทำให้กินอาหารโปรดอย่างตือฮวนกับต้มเลือดหมูไม่ลงไปหลายนานเชียว อย่างทำล้อเล่นไป
เชื่อกันว่าผีกระสือชอบอาหารสดๆ คาวๆ กลางวันเป็นคนธรรมดา แต่กลางคืนก็จะแปลงร่างออกไปหากิน เสร็จสรรพก็จะเช็ดปากกับผ้าผ่อนของชาวบ้านที่เผลอตากราวค้างคืน บ้างก็ทิ้งร่องรอยอาจมไว้ที่ผ้านั้นจนผู้คนรู้แน่ว่าหมู่บ้านตนมีผีกระสืออาละวาดแล้ว
วิธีแก้หรือป้องกันก็คือจะหาหนามไผ่มาสะไว้ตามรั้วบ้าน เผื่อผีกระสือพุ่งเข้าหาอาหารโปรด ก็จะโดนหนามไผ่เกี่ยวเข้าที่เครื่องในพวงโตของตนจนดิ้นกระเดือกกระแด่วร้องโหยหวน จนชาวบ้านจุดคบ หิ้วตะเกียง ถือไฟฉายมาส่องดูหน้าว่าเป็นใครแน่?
ถ้ามีโอกาสหลุดรอดไปนอนซมที่บ้าน ก็จะเจ็บป่วยเจียนตายจริงๆ แต่ก่อนตายมักจะถ่ายทอดตระกูลกระสือให้ลูกหลานรับช่วงเป็นทายาท ด้วยการบ้วนน้ำลายใส่ปากถึงจะไม่ใช่ "ทายาทอสูร" ก็คล้ายๆ กันแหละน่า
เมื่อราว 50 ปีมาแล้ว มีบาทหลวงจากอเมริกาชื่อหลวงพ่อจอห์น สมิธ มาเผยแผ่คริสต์ศาสนาที่เชียงใหม่ ขณะที่กำลังสร้างโบสถ์อยู่นั้นก็เกิดเรื่องราวแปลกประหลาดขึ้นอย่างกะทันหัน!
คืนนั้น หลวงพ่อกำลังหลับสนิทก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงใครกำลังรื้อค้นข้าวของอยู่ในโรงครัว ครั้นลุกไปดูก็เห็นร่างตะคุ่มๆ ค่อนข้างใหญ่โตของชายผู้หนึ่งกำลังฉีกไก่สดๆ กิน พอจะมองเห็นในแสงดาวจึงร้องตวาดพร้อมกับโถมเข้าใส่ เพราะคิดว่าเป็นขโมยมาลักอาหารกิน
ชายประหลาดวิ่งหนีแต่ก็ช้าไป หลวงพ่อจอห์นปราดเข้ารวบตัวไว้ได้ แต่ชายนั้นสูงใหญ่ มีพละกำลังค่อนข้างมาก เกิดการต่อสู้จนถึงกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนล้มลุกคลุกคลานไปตามพื้นดินพื้นหญ้าเป็นพัลวัน
ในที่สุด ชายผู้นั้นก็วิ่งหนี้เข้าป่าละเมาะหายไป!
รุ่งเช้า หลวงพ่อจอห์น สมิธ ก็ไปสำรวจดูสถานที่อันจดจำได้แม่นยำว่าต่อสู้ปลุกปล้ำกันอยู่นาน ก็พบกับขนยาวๆ สีเทาอมดำจำนวนมากตกหล่นเรี่ยราดอยู่ตามพื้นหญ้า หลวงพ่อพิจารณาอยู่นานก็นึกไม่ออกว่าเป็นของสัตว์ชนิดใด จึงตัดสนใจเก็บรวบรวมไว้ได้จำนวนหนึ่ง แล้วใส่ถุงส่งไปยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงนิวยอร์ก พร้อมกับเขียนจดหมายแจ้งความประสงค์ให้ช่วยตรวจวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ว่าขนเหล่านั้นเป็นขนของสัตว์ชนิดใดแน่?
ตลอดเวลาเหล่านั้น หลวงพ่อจอห์นก็คอยซุ่มดูอยู่หลายคืน แต่ก็ไม่ปรากฏร่างของชายประหลาดเข้ามาลักขโมยของกินอีกเลย
สองเดือนผ่านไป ก็ได้รับคำตอบจากนิวยอร์กว่า...ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าขนที่ส่งไปให้ตรวจนั้น เป็นขนของสัตว์ชนิดใด หรือแม้แต่ตระกูลใด
ความลับนั้นก็ยังคงเป็นความลับมาจนถึงปัจจุบันนี้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น